บทที่ 1 : ข้ามิเคยลืมเจ้า
บาซายิ้มเมื่อได้เห็นนายท่านของตนมีความสุข เขารู้ดีว่าตลอดเวลาสี่พันห้าร้อยปี อามาร์นั้นทุกข์ตรมมากแค่ไหน แต่อามาร์ก็ยังคงยึดมั่นเฝ้ารอคอยจนนางได้หวนคืนกลับมาอีกครั้งในชาติภพนี้
“สำหรับคนรับใช้อย่างข้าแล้ว มิมีเรื่องไหนที่ทำให้ข้าเบาใจได้เท่าที่ท่านได้เจอนางอามาร์”
บาซาพึมพำกับตัวเองแล้วไปจัดการงานของตนเองที่ได้รับมอบหมายให้ทำ หน้าที่ของเขาคือไปจัดการให้ความวุ่นวายชุลมุนที่อามาร์และตนได้สร้างขึ้นให้กลับเป็นปกติ ทำให้เหมือนกับว่าไม่เคยมีงานแต่งงานของพุฒิตากับนับสิบและพ่อแม่ของนางก็เข้าใจว่านางนั้นได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ ส่วนคู่หมั้นหนุ่มก็ยุ่งกับการช่วยพ่อหาเสียง
ในโลกนี้อะไรก็ล้วนเกิดขึ้นได้แค่พริบตาเดียวของอามาร์ อำนาจเวทมนตร์คาถาบันดาลทุกอย่างได้ตามใจปรารถนา แต่มีสิ่งเดียวที่อามาร์ใช้มันมิได้คือความ ‘รัก’ เขาจะต้องใช้ใจของเขาเท่านั้น
จากงานแต่งงานตรงหน้า ตอนนี้ถูกคาถาสับเปลี่ยนเป็นงานเลี้ยงฉลองครบรอบบริษัทของนายปพนกับนางทิพย์ โดยมีนักการเมืองชื่อดังและนักธุรกิจมากมายมาร่วมแสดงความยินดี และมีการประมูลเครื่องเพชรเพื่อนำเงินไปบริจาคให้เด็กยากไร้ในชนบทด้วย
“หากตอนนี้ข้าดับสูญ ข้าก็มิเสียดายที่ได้ติดตามท่านแล้วอามาร์” บาซาพึมพำกับตนเองเมื่อผลงานตรงหน้าตัวเองเป็นอย่างที่นายท่านของตนปรารถนา แล้วเขาก็กลับไปพักผ่อน
เป็นค่ำคืนแรกที่เขานอนหลับ ปกติแล้วกลางคืนเขาจะท่องราตรีเสพสุขกับอาหารที่ห้องอาหารสดที่บาซาจัดเตรียมไว้ให้ แล้วตอนกลางวันก็หลับใหล ซึ่งเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน
“ข้ามิเคยลืมเจ้าพุฒิตา” แสงแดดสาดส่องลอดผ้าม่านสีขาวเข้ามาในห้องทำให้ต้องตื่น พอตื่นขึ้นมาก็เห็นแม่ยอดรักของตนหลับสนิทในอ้อมกอด มือหนาสากกร้านก็ลูบไล้แก้มนวลเนียนแล้วปัดผมที่ติดแก้มไปทัดข้างหูให้อย่างอ่อนโยน แล้วกดริมฝีปากหนากับหัวทุยเล็กที่ซุกอกตน
“เจ้าจักเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวพุฒิตา”
เขาบอกกับนางแล้วผละลุกขึ้นจากเตียงไปยังระเบียงห้องนอนเพื่อรับแสงอรุณ ทุกอย่างตรงหน้าคือเมืองมายาที่เขาสร้างขึ้น จะมีแค่เขาและพุฒิตากับบาซาเท่านั้นที่เข้ามาได้ แต่ผู้คนข้างนอกจะมิมีใครเห็นมิติมายาแห่งนี้ มีแต่เขาที่มองเห็นทุกอย่างด้านนอก เพราะโลกมายาแห่งนี้ถูกสร้างซ้อนทับโรงแรมอามาร์
พุฒิตาตื่นขึ้นมาในห้องไม่คุ้นเคย แล้วสมองอันชาญฉลาดก็ประมวลเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อคืนแล้วมองสำรวจห้องนี้ใหม่อีกครั้ง มันเป็นสถานที่เมื่อคืนและเธอก็ยังอยู่ที่นี่ เธอลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วหยิกแขนและขาตัวเองด้วยคิดว่ามันอาจจะเป็นความฝัน แต่แล้วก็ต้องร้องเจ็บออกมาจนทำให้คนที่ยืนอยู่ระเบียงหันกลับเข้ามาในห้องแล้วเดินเข้ามาหา
“เกิดอันใดขึ้นพุฒิตา” เขาถามหญิงสาวด้วยความเป็นห่วงร้อนใจด้วยกลัวว่านางจะเจ็บปวดตรงไหน
“คะ...คุณหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเข้ามาใกล้ฉัน” มือน้อยยกห้ามไม่ให้เขาเดินเข้ามาหาตนเองที่เตียง
“ได้เช่นไรกันเล่า เมื่อคืนข้าและเจ้าก็นอนด้วยกันบนเตียงที่เจ้านั่งอยู่” อามาร์ไม่ยอมหยุดตามคำสั่งของนางอันเป็นที่รัก เขาเดินก้าวยาวๆ ไปยังเตียงและยิ่งเธอขยับถอยหนี เขาก็ยิ่งปวดใจจนต้องยื่นแขนไปตวัดโอบกอดเธอรั้งเข้ามาหา
“กรี๊ด...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” พอถูกรั้งไปกอด เธอก็ควบคุมสติตัวเองไม่ได้ร้องกรี๊ดลั่นห้องดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระจากอ้อมกอดแข็งแรงที่ไม่คุ้นเคย
“เจ้ากลัวข้าขนาดนั้นเชียวรึพุฒิตา”
เสียงกรีดร้องหวาดกลัวตกใจของแม่ยอดดวงใจทำให้อามาร์เจ็บปวดราวกับว่าน้ำเสียงร้องของพุฒิตานั้นเป็นมีดคมที่ทิ่มแทงกรีดลึกไปยังกลางใจที่ยังเต้นไหวของตนเอง ท่อนแขนแข็งแรงกอดรัดแม่ยอดพธูแน่นขึ้นกว่าเดิม ไม่สนว่าสาวเจ้าจะมีอาการต่อต้านขัดขืนหาทางหนีจากอ้อมแขนแข็งแกร่งของตน
“ปล่อยฉัน ปล่อยฉันเถอะ ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นตัวอะไร แต่ได้โปรด...ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะนะคุณ ฮือๆ” พุฒิตาหยุดดิ้นพร้อมกับเอ่ยขอร้องเสียงสั่นเครือขอความเมตตาจากชายแปลกหน้า แถมยังพูดจาประหลาดหลงยุค
สี่พันห้าร้อยปีที่แขนทั้งสองไม่ได้โอบกอดหญิงใด ไม่ได้แตะต้องเฉียดใกล้แม่นางคนใด มันเป็นของนางตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เขาเก็บมันไว้เพื่อโอบกอดปลอบประโลมมอบความรักให้พุฒิตาคนเดียวเท่านั้น แต่พอได้ยินเสียงร้องไห้สั่นเครือและคำพูดขอร้องแล้วใจของเวตาลผู้เป็นอมตะอยู่นานตั้งแต่กลียุคอย่างเขาเศร้าตรม มิอยากให้พุฒิตาหวาดกลัวตัวเอง เขาจึงผละคนสะอื้นไห้ออกจากอ้อมกอดแข็งแรง สองมือที่กอดรัดผละมาจับหัวไหล่เล็กหนึ่งข้าง อีกข้างเชยคางมนให้แหงนเงยขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาลเจือเขียวอมเศร้าของตน
“ฟังข้าพุฒิตา ข้ามิทำอันใดเจ้า เจ้าคือคนที่ข้าเฝ้าปรารถนามาตั้งแต่กาลอดีตจนถึงปัจจุบัน ตัวข้ามีแต่จะถนอมมิมีทำร้ายเจ้าดวงใจข้าเอ๋ย”
พุฒิตาอยากจะหลบหนีสายตาเศร้าของบุรุษตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถหลบหนีสายตาที่จดจ้องมายังตนได้ ดวงตาของเขามันอาบล้นไปด้วยความเจ็บปวด และทำไมเธอถึงเข้าใจความหมายที่คนตรงหน้าส่งให้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหัวใจของเธอมันเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างประหลาด
