บท
ตั้งค่า

บทที่ 8

เธอยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม ขณะที่เขาเติมฟืนอีกท่อนหนึ่งลงในเตาผิง

“บางครั้งผมก็คิดถึงอากาศหนาวเย็นอยู่เหมือนกันนะ” เขาเอ่ยต่อ “พยายามจะกลับมาที่นี่อย่างน้อยปีละครั้งตอนช่วงฤดูหนาว และตอนที่เดินทางมาก็ภาวนาขอให้มีหิมะปกคลุมอยู่ทั่วไปด้วย เพราะผมชอบนั่งอยู่เบื้องหน้าเตาผิงที่มีรูปทรงแบบนี้”

“ฉันเองก็มีเตาผิงเหมือนกันนะ แต่ไม่เคยใช้หรอก” วาลบอก “มันเป็นแบบที่เขากรุกระจกไว้โดยรอบ สามารถมองเห็นเปลวไฟสีน้ำเงินที่ขึ้นจากท่อนฟืนได้”

“ฟังน่ากลัวมากกว่าจะสวย”

“ใช่” วาลหัวเราะเบา ๆ “เพราะยังไงเล่าฉันถึงชอบแบบนี้มากกว่า คุณรู้ไหมคะว่าวันนี้ตอนเข้าเมืองฉันไปเห็นอะไรมาบ้าง ร้านขายหนังสือร้านหนึ่งที่ฉันเดินเข้าไปน่ะมีเตาผิงแบบเดียวกันนี้ตั้งอยู่ตรงผนังด้านหนึ่ง มีโต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้หลายตัวตั้งอยู่หน้าเตาผิงด้วย...” เธอหัวเราะเบา ๆ

“ที่ร้านนั่นนอกจากจะขายหนังสือแล้วเขาก็ยังมีการขายน้ำชา กาแฟด้วยนะคะ คนซื้อสามารถจะอ่านหนังสือไปครึ่งค่อนเล่มยังได้เลย ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ข้างเตาผิงมีลังใส่ไม้สนท่อนโต ๆ ตั้งอยู่ด้วย ฉันว่าในย่านนี้จะต้องมีคนรักการอ่านมากทีเดียว เพราะมีรูปที่ทางร้านถ่ายไว้ติดอยู่บนผนังห้องด้วย เยี่ยมไหมล่ะ”

“คุณชอบอ่านหนังสือเหมือนกันหรือนี่” แรนด์ถามอย่างแปลกใจ

“ถ้ามีเวลาฉันก็อ่านเสมอละ ยินดีให้ถอนฟันด้วยซ้ำ ถ้าจะได้อ่านบ๊อบบ์เซย์ ทวินส์ แอนด์ แนนซี่ ดรูว์ คุณจําหนังที่เชอร์ลี่ เทมเปิ้ล แสดงตอนวัยเด็กได้ไหมล่ะ ฉันหลงใหลหนังแบบนั้นจะเป็นจะตาย” เธอเปิดปากหาว รู้สึกว่าตัวเองชักจะพูดจาไร้สาระมากขึ้นทุกที แต่จะแปลกอะไรเล่า ในเมื่อเธอกอยากคุยเรื่องที่คนอื่น ๆ ในโลกนี้เขาคุยกันบ้าง ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องกฎหมายหรือคดีความอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน เธอจับตาอยู่กับเปลวไฟเมื่อเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณเคยรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตบ้างไหมคะ”

แรนด์ใช้ความคิดกับคําถามนี้อยู่เป็นครู่ ทุกคนในโลกนี้มักจะมีเรื่องที่เมื่อทําลงไปแล้ว ก็เกิดความเสียใจขึ้นมาด้วยกันทั้งนั้น

“เคยไหมคะ” เธอถามซ้ำ

“ก็มีบ้าง...” เขายกเบียร์ขึ้นดื่ม “อย่างเช่นเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับแม่ให้มากเท่าที่ควร เสียใจที่แสดงความรุนแรงใส่แครี่ ตอนที่รู้เรื่องที่เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งทั้งที่เขาก็สารภาพแต่โดยดี เสียใจที่เคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ซอว์เยอร์ เสียใจที่ไม่ได้กอดแซลลี่ เดียเรสท์ อีกแล้ว มันเป็นแมวสตั้ฟฟ์ที่ผมได้มาตอนเด็ก ทั้งหมดที่พูดนี่มันพอตอบคําถามคุณได้บ้างไหมล่ะ” เขาย้อนถาม “แล้วคุณล่ะเคยมีเรื่องแบบเดียวกันนี้บ้างหรือเปล่า”

“ยังไม่เคยมีหรอก แต่คุณกําลังคิดว่าอีกไม่นานมันจะต้องมีสักเรื่องที่เมื่อทําลงไปแล้ว ฉันจะต้องเสียใจอย่างนั้นใช่ไหม”

“คุณนี่เหลี่ยมพราวเลยนะ” แต่เขารู้ว่าตัวเองกําลังคิดเรื่องนั้นอยู่จริง

“คุณรู้อะไรไหมคะ ถ้ามีใครสักคนมาถามว่าในชีวิตนี้มีอะไรที่ฉันภาคภูมิใจที่สุด ฉันก็คงจะบอกว่า...คุณล่ะคะแรนด์ ภาคภูมิใจเรื่องอะไรมากที่สุด”

“เยอะแยะไป”

“ลองบอกมาสักอย่างสิคะ” น้ำเสียงของเธอบอกความท้าทาย

“ก็อย่างเช่นผมส่งเงินไปให้แม่ของเชสนี่ย์ใช้ทุกเดือนอะไรทํานองนั้น” แรนด์ตอบเสียงเบา

“คุณจะถือว่าเรื่องนั้นเป็นความภาคภูมิใจไม่ได้หรอกค่ะ คุณจะเอาเงินไปชดเชยกับความรู้สึกที่เกิดอยู่กับเขาไม่ได้หรอก เพราะเวลาที่เขาต้องการตัวคุณจริง ๆ น่ะคุณก็หายตัวไปแล้ว ฉันว่าคนเราถ้าทําอะไรลงไปแล้วควรจะรับผิดชอบนะคะ เพราะฉะนั้นการที่คุณจะส่งเงินไปทุกเดือนมันไม่มีความหมายอะไรหรอกค่ะลอร์ด เนลสัน”

“เลิกเรียกผมแบบนั้นเสียทีเถอะน่า ถึงยังไงเงินมันก็ยังมีความหมายในอะไรบางอย่างอยู่บ้างหรอก ผมบริจาคเงินเพื่อการกุศลออกบ่อยไป”

“นั่นเป็นสิ่งที่คุณน่าจะต้องทําอยู่แล้วละ เพราะคนยากจนเหล่านั้นจําเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ร่ำรวยล้นฟ้าอย่างคุณบ้าง แต่ที่ฉันพูดนี่หมายถึงอะไรบางสิ่งที่มันมีความสําคัญอย่างแท้จริง สําคัญขนาดที่สามารถทําให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปได้อะไรทํานองนั้น แต่นั่นแหละนะ คุณเป็นผู้ชาย เรื่องที่จะภูมิใจกับอะไรง่าย ๆ คงไม่มีหรอก”

“แปลว่าคุณมียังงั้นสิใช่ไหม คุณทนายความ ถามจริง ๆ เถอะ ว่ามันมีอะไรที่คุณทําลงไปแล้วช่วยให้เกิดความภูมิใจขึ้นมาได้บ้างเล่า”

“ฉันน่ะเรอะ...” วาลเลือกสรรคําพูดก่อนจะตอบว่า “ฉันเคยเดินขบวนตั้งหลายครั้ง อย่างเช่นการเดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนามเป็นต้น และมันเป็นสิ่งที่ฉันภาคภูมิใจมากด้วย”

แรนด์ยื่นมือออกไปโอบไหล่เธอไว้

“คุณพูดถูกแล้วละ การเดินขบวนนั้นเป็นอะไรบางอย่างที่น่าภาคภูมิใจจริง ๆ เสียด้วย” เขาเปิดเบียร์กระป๋องใหม่ขึ้นสําหรับตัวเองและเธอ “มา...เรามาดื่มให้เซลม่ากับเวียดนามกัน”

“อันที่จริงฉันไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครมาก่อนหรอกนะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงได้เก็บมาเล่าให้คุณฟัง อย่าเล่าต่อให้ใครฟังนะคะแรนด์ ฉันถือว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตแล้ว ก็เป็นสมบัติของฉันเพียงคนเดียวด้วย ฉันมักจะคิดถึงมันเวลาที่เกิดเหงาลึก ๆ ในใจขึ้นมา”

“ผมจะเก็บไว้เป็นความลับสุดยอดทีเดียว” แรนด์รับรองแข็งขัน “รู้ไหม คุณทนาย คุณน่ะเป็นผู้หญิงที่มีดวงตาสวยมาก”

“คุณก็เหมือนกันค่ะ มายลอร์ด” วาลเอ่ยออกไปด้วยหัวใจเต้นระทึก “ฉันว่าเราสองคนน่าจะเมาเสียแล้วละ มันถึงกลายเป็นคนอ่อนแอไปได้ขนาดนี้ ฉันว่าเราเข้านอนกันเถอะ แต่ต่างคนต่างนอนนะคะ” มันคล้ายมีนัยอยู่ในน้ำเสียงนั้น

“ข้างบนหนาวออก เรานอนกันข้างเตาผิงนี่ไม่ดีกว่าหรือ ผ้าห่มก็มีพร้อมอยู่แล้ว”

“ก็แล้วถ้าไฟในเตามันเกิดมอดลงล่ะ” วาลถามเสียงเบา

“ไม่มอดหรอก ท่อนใหญ่นั่นอยู่ได้ทั้งคืนทีเดียวนะ หรืออย่างน้อยก็อีกสี่ชั่วโมงละ มันเป็นไม้เนื้อแข็ง และไม้เนื้อแข็งก็ไหม้ช้ามากด้วย ถ้าเกิดหนาวขึ้นมาผมก็ลุกขึ้นเติมฟืนได้นี่”

“ฉันไม่ชอบนอนตัวสั่นหรอกนะคะ” วาลว่า

“ผมเองก็เหมือนกัน” แรนด์บอก นิ่งเงียบไปเป็นครู่ ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อเธอขึ้น “วาล...”

“คะ”

“วาล ผม...”

“ว่าไงล่ะคะ” เธอซุกตัวอยู่กับเขาแน่นขึ้น

“บางทีมันอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก” น้ำเสียงของเขาบอกความกังวล

“อย่ากังวลเลยค่ะ ฉันเชื่อใจคุณ นอนเสียเถอะ ว่าแต่คุณนอนกรนหรือเปล่านี่”

“เหมือนเข็นเรือเลยละ แล้วคุณล่ะ”

“ผู้หญิงไม่กรนหรอกค่ะ จะนอนกันหรือยังล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ”

“ผมเพียงแต่กําลังคิดถึงเรื่องของเราสองคนเท่านั้น” แรนด์พูดอยู่ในลําคอ

“ไม่มีคําว่า เรา หรอกค่ะ แรนด์ เลิกคิดเรื่องนั้นได้เลย คุณแต่งงานแล้วนะคะ ซึ่งการแต่งงานหมายถึงการที่คุณมีภรรยา และคนที่เป็นสามีก็ไม่ควรทําอะไรที่ไม่ดีลับหลังภรรยาของตนด้วย คนที่เป็นภรรยาเขาบอกว่า...ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าเขาพูดกันว่ายังไง เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเป็นภรรยาใครอย่างเป็นตัวเป็นตนสักที” เธอหัวเราะอย่างขบขันกับคําพูดของตนเองอยู่

“คนที่เป็นเมียน่ะพูดอะไรได้ตั้งร้อยสีพันอย่าง” แรนด์บอก “แล้วก็พูดได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนด้วย ดูจะมีความคิดเห็นไปหมดทุกเรื่อง ถ้าเรื่องไหนไม่มีความคิดเห็น ก็เอาความคิดเห็นสามีนั่นแหละมาเป็นของตัวเสีย คุณคิดว่าที่ผมสรุปให้ฟังเป็นยังไง พอใช้ได้ไหมล่ะคุณทนาย”

“สิ่งที่ภรรยาพูดกับสามีก็คือ ของสวยงามทุกชิ้นคุณจะทําได้แค่ดูแต่ตา มืออย่าต้องไงคะ” น้ำเสียงของเธอบอกความเคืองแค้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“เกิดเป็นอะไรขึ้นมา ทําไมโมโหง่าย ๆ อย่างนั้นล่ะ” เขาถามอย่างแปลกใจ อดที่จะเปรียบเทียบเธอกับแม็กกี้ไม่ได้ เพราะแม็กกี้ไม่ยอมแสดงความโกรธออกมาให้เห็น

“ใครบอกกันว่าฉันโมโห” วาลกลับย้อนถาม

“ก็สีหน้ากับน้ำเสียงของคุณน่ะสิ ผมว่าคุณกําลังโกรธมากกว่านะวาล แต่ผมอยากจะให้คุณคิดสักนิดว่า ที่นี่มันไม่ใช่ห้องพิจารณาคดี ไม่ใช่ศาล เพราะฉะนั้นอย่าไปสร้างความเครียดให้เกิดขึ้น ทําจิตใจให้สบายดีกว่า เอาเบียร์อีกสักกระป๋องไหมล่ะ หรือว่าจะเปิดไวน์ดี”

“ถ้ากินไวน์ก็ต้องจุดเทียนขึ้น เพราะเขานิยมดื่มไวน์ภายใต้แสงเทียนไม่ใช่หรือคะ”

“ถ้าเขาต้องการให้บรรยากาศเข้ามาเป็นตัวร่วม เพื่อให้มันมีความรู้สึกหลงละเมอเกิดขึ้น แต่เวลานี้เราสองคนก็เป็นไวน์กับเทียนที่ว่านั่นอยู่แล้วนี่”

“ฉันว่าคุณกําจัดความคิดนั้นออกไปให้พ้นจากสมองจะดีกว่านะคะ ลอร์ด เนลสัน ฉันไม่มีวันยอมให้คุณนอนกับฉันง่าย ๆ หรอก”

“ผมว่าคําพูดแบบนั้นมันเก่าไปหน่อยแล้วละวาล ตอนผมอายุสิบเจ็ดก็ได้ยินผู้หญิงบอกผมอย่างนี้แล้ว ผมยินดีจะใช้เวลาไม่ว่าจะกี่ชั่วโมงเพื่อถอดกางเกงยีนส์ตัวนี้ของคุณออกนะ” เสียงหัวเราะของเขาบอกความมึนเมาอยู่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel