บทที่ 9
วาเลนไทน์อยากจะร้องไห้ออกมาเสียนัก เพียงแต่ไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรเท่านั้น
“คุณใจร้ายมากไปหน่อยแล้วที่มาพูดกับฉันแบบนี้” น้ำเสียงเธอกราดเกรี้ยว “ฉันเกลียดผู้ชายแบบคุณ รู้ไหม...ไปให้พ้นนะ คุณน่ะแต่งงานแล้วนะ จําไว้ด้วย” เธอคว้าหมอนขึ้นมากอดไว้หยาดน้ำตาลามไหลนองแก้ม ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
“เวลาผู้หญิงร้องไห้หน้าตาน่าเกลียดออก” แรนด์บอกเมื่อคืบคลานเข้าไปใกล้
“ให้หน้าตาน่าเกลียดยังดีกว่ามีจิตใจที่มืดดํา” วาลพูดเสียงสั่น “คุณน่ะมันคนใจดํา ฉันเกลียดคุณรู้ไหม เกลียดสําเนียงอังกฤษของคุณด้วย...มันสร้างความกระทบกระเทือนให้กับจิตใจฉันมากเกินไป อย่าเข้ามาใกล้นะ ไม่ยังงั้นฉันจะ...”
“จะทําอะไรหรือ” แรนด์ถามอย่างยั่วเย้า “จะบอกแม็กกี้ละสิท่า เขาไม่มีวันเชื่อคุณหรอก เขารักผมมาก มากจนไม่มีวันมองเห็นความไม่ดีในตัวผมเลย ไม่ว่าผมจะทํายังไงเขาก็ยอมทั้งนั้น เพราะความรักที่เขามีต่อผมเป็นความรักที่แท้จริง” เขาเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้
วาเลนไทน์กระถดร่างหนี กลัวเหลือเกินว่าจะต้องสูญเสียการควบคุมตัวเองไป ไม่ชอบความรู้สึกที่กําลังเกิดก่ออยู่ในใจขณะนี้เลย มันมีความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูก และไม่เกี่ยวกับเบียร์ที่ดื่มเข้าไปด้วย
“เราชักจะล้ำเส้นมากเกินไปแล้วละค่ะแรนด์ และฉันก็ไม่ชอบด้วย” วาเลนไทน์บอก “ฉันขอขึ้นไปนอนข้างบนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
อ้อมแขนของแรนด์รวบร่างเธอไว้ วาเลนไทน์โยนหมอนเข้าใส่เป็นการปัดป้อง พยายามจะพยุงตัวให้ลุกขึ้น แต่อาจจะเป็นเพราะความมึนเมาที่ทําให้เสียหลักหงายหลังลงกับพื้นห้อง คว้าผ้าห่มขึ้นมากอดไว้แนบอกราวจะใช้มันเป็นโล่กําบัง สัมผัสความรู้สึกยามที่เขาประคองเธอขึ้นอย่างอ่อนโยน “ฉันว่า...” เธอพูดเสียงสั่น “เราควรจะคิดให้ดีนะคะแรนด์ เราต่างเมาด้วยกันทั้งคู่ แล้วไฟในเตานั่นมันก็...”
“ช่วยให้เรามึนเมามากขึ้น” แรนด์เสริมขณะดึงกางเกงยีนส์ที่เธอสวมอยู่ออกจากตัว “เราคือมนุษย์สองคนที่บังเอิญถูกจับให้มาอยู่ร่วมกันในเวลาอย่างนี้ไงล่ะ” น้ำเสียงของเขาบอกความตื่นเต้นเหมือนเด็กที่กําลังจะได้ของเล่นชิ้นใหม่ “ผมรับรองนะวาล ว่าจะไม่มีใครล่วงรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน”
“แต่เรารู้นะคะ” เธอพยายามจะขืนตัวไว้ เมื่อกางเกงยีนส์ตัวนั้นเลื่อนต่ำลงเรื่อย ๆ
แต่ในที่สุดอาการดิ้นรนก็ยุติลง นานมาแล้วที่เธอไม่ได้อยู่กับผู้ชายสองต่อสองแบบนี้ และเธอควรจะลืมแม็กกี้ ลืมโคลแมนส์ทั้งหลาย ยอมตนให้กับความรู้สึกที่เกิดก่ออยู่ในใจยามนี้ได้แล้ว และในตอนนั้นที่เธอโอบแขนลงรอบลําคอรั้งศีรษะแรนด์ให้ก้มต่ำลง
“ผมอยากจะทําอย่างนี้ ตั้งแต่ตอนที่เราพบกันที่สนามบินด้วยซ้ำ” แรนด์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“คุณพูดมากเกินไปแล้วละค่ะ” วาลแนบริมฝีปากของเธออยู่กับเขา
หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างหยอกเย้ากันอยู่ราวหนุ่มสาวแรกรัก จนกระทั่งถึงจุดที่แรนด์มีความรู้สึกราวตัวเองใกล้จะคลุ้มคลั่งเต็มที
“ผมใกล้จะเป็นสัตว์ป่าเข้าไปทุกทีแล้วนะ” เขากระซิบบอก
“งั้นก็ทําให้เหมือนเลยสิคะ” วาเลนไทน์กระซิบตอบ
ซึ่งเขาก็ทําตามที่เธอบอก...ครั้งแล้ว ครั้งเล่า...
จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกนานมาก วาลจึงได้เอ่ยขึ้น
“เป็นการร่วมเพศยอดเยี่ยมที่สุดที่ฉันเคยพบมาในชีวิตนี้”
“ยังงั้นเชียวหรือ...” แรนด์รั้งร่างเธอเข้าไว้ในอ้อมกอด “นี่ยังไม่ถึงที่สุดสําหรับผมหรอกนะ”
“เราคงไม่มีโอกาสได้ทําอย่างนี้อีกแล้วใช่ไหมคะ” น้ำเสียงที่ถามบอกความเศร้าเสียดาย
“มันคงไม่ฉลาดนักหรอกนะวาล”
“นั่นสิคะ...” เธอใช้ความคิดอยู่กับคําพูดของเขาเป็นครู่ “อะไรก็ตาม ลองมันได้ผ่านครั้งแรกไปแล้ว ครั้งต่อไปมันก็หมดความหมายลงตามธรรมชาติ”
“ผมคิดว่าคุณพูดถูกนะ” เขาซุกจมูกอยู่กับซอกคอ
“ฉันมักจะพูดถูกอยู่เสมอละค่ะแรนด์”
“ผมคงคิดถึงคุณมากทีเดียว”
“จุ๊ย์...อย่าพูดอะไรอีกเลยค่ะ พยายามนอนให้หลับ แล้วฝันเห็นแต่สิ่งดีงามแค่นั้นก็พอ”
“ผมยังไม่อยากหลับนะวาล อยากร่วมรักกับคุณอีก คุณน่ะมีความเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้หญิงคนไหน ๆ ที่ผมเคยพบมานะวาเลนไทน์ มิทเชล”
“ใช่ค่ะ ผู้ชายทุกคนที่เคยนอนกับฉันเขาก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้น” น้ำตาหยาดหนึ่งหยดลงบนแก้มแรนด์เมื่อเธอประทับจูบลงบนปากเขา
เธอต้องใช้เวลากว่าชั่วโมง สําหรับการอาบน้ำและจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทาง แล้วจึงได้เดินออกจากบ้านขับรถไปสนามบิน จอดรถทิ้งไว้ในลานกว้าง ใช้เวลาที่เหลือในค่ำคืนนั้นเหม่อมองเพดานของอาคารสนามบิน จนกระทั่งถึงเวลาที่เครื่องออกตอนเจ็ดโมงตรง...
อีกยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อมา วาเลนไทน์ มิทเชล จึงได้ไขกุญแจประตูห้องคอนโดที่แอสซังเต เทาเวอร์ โถมตัวลงบนที่นอน ร่ำไห้จนหมดแรงแล้วจึงได้ผลอยหลับไป...
ไอวี่เดินสํารวจโต๊ะอาหาร ตรวจตราจานชามกับแก้วไวน์ที่ตั้งเรียงไว้เป็นชุดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยมีมอสส์น้อยอยู่บนเอวด้วย
“เรียบร้อยดีแล้ว” เธอบอกกับลูกชาย “ทิวลิปสวยเชียวนะลูก บิลลี่ชอบทิวลิปมาก แม่ก็ชอบ แม่คิดว่าทุกคนในโลกล้วนแต่ชอบดอกทิวลิปกันทั้งนั้นละ อีกประเดี๋ยวพ่อก็จะมาถึงแล้วละมอสส์ ดีใจไหมล่ะลูก” เธอพูดกับทารกน้อยไปเรื่อย ๆ
“แล้วโคลก็จะมากับพ่อด้วยนะ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดีแน่เลย แครี่ก็มาด้วยนะ ถึงแม้จะต้องนั่งเก้าอี้เข็นก็ยังมาอยู่ดีละ แม่ถึงบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดีไงล่ะดีจริง ๆ นะ” ดูเหมือนเธอพยายามจะย้ำยืนยันให้ตัวเองเชื่อว่าสิ่งที่กล่าวออกมานั้นจะต้องเป็นความจริงมากกว่า
เธอจูบศีรษะลูกชายเบา ๆ อบอุ่นเหลือเกินที่ได้อุ้มลูกชายไว้แนบตัวอย่างนี้ ลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอกับไรเล่ย์
“ต๊าย...อันธพาลตัวน้อยจะหลับอยู่บนเอวแม่จริง ๆ หรือนี่” เธอเชยคางลูกชายขึ้น แต่มอสส์น้อยง่วงงุนเกินกว่าจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างที่เคยทําอยู่ได้ ไอวี่ถอนหายใจขณะเดินตรงไปยังบันได
“สงสัยพอพ่อมาถึงต้องปลุกหนูขึ้นมาจูบแน่ ๆ เลย” เธออดยิ้มไม่ได้ เมื่อวางลูกชายลงในเตียงคอกและแกก็ยัดนิ้วแม่มือเข้าปากดูดอย่างมีความสุข ดวงตาปิดสนิท ขณะที่มืออวบอ้วนอีกข้างหนึ่งกําผ้าห่มเนื้อนุ่มไว้แน่น
“มอสส์...” ไอวี่น้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจกับภาพที่เห็นอยู่นั้น “แม่ไม่รู้จริง ๆ นะลูกว่าระหว่างหนูกับพ่อแม่รักใครมากกว่า”
ซึ่งก็ตอนนั้นเองที่บิลลี่เดินเข้ามาสมทบในห้องเลี้ยงเด็ก
“น่ารักเหลือเกิน” บิลลี่พูดเสียงเบา “เธอน่ะโชคดีเหลือเกินนะไอวี่ที่มีลูกน่ารักอย่างนี้”
“ใช่ค่ะ” ไอวี่สนองรับ
“ทุกครั้งที่ฉันเอาลูกเล็ก ๆ ใส่ลงในเปลหรือในเตียง ฉันก็เป็นอย่างเธอนี่แหละ อดน้ำตาคลอไม่ได้ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง บางครั้ง...เวลาที่มันมีเรื่องกลุ้มใจ ฉันจะฟื้นความทรงจําถึงช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ พยายามจะมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหัวใจที่เป็นธรรม...
“ฉันเคยถึงขนาดจดบันทึกความทรงจําต่าง ๆ นี่ลงไว้ทีเดียวนะ เวลาเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาก็จะเปิดออกอ่าน นึกอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ก็จะจดเติมลง ฉันทํายังงั้น จนกระทั่งไรเล่ย์ ซีเนียร์ ไปรับราชการทหารแน่ะ ซึ่งตอนนั้นฉันยังอยู่กินกับคุณทวดของมอสส์น้อยนี่ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง” น้ำเสียงของบิลลี่สลดเศร้า
และในตอนนั้นเองที่ไอวี่โผเข้ากอดย่าของสามีไว้ ต่างไม่รู้ว่าใครปลอบใครกันแน่
“ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดีนะไอวี่ แม้ว่าตอนนี้มันจะดูลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่บ้าง แต่ก็อย่างที่เอมิเลียเคยพูดไว้นั่นแหละว่าเส้นทางในชีวิตของคนเรามันก็ต้องขรุขระบ้าง ไม่อย่างนั้นคนเราจะได้ใจแล้วก็ถือประโยชน์จากมันมากไป”
ไอวี่ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
“ที่รัก ปิดประตูห้องเสียก่อนเถอะ ย่ามีอะไรบางอย่างอยากพูดกับเธอเป็นการส่วนตัว”
เมื่อไอวี่ปิดประตูลงเรียบร้อยแล้วจึงได้เดินไปนั่งที่บนบล็อคสีแดง ขณะที่บิลลิ่นั่งลงบนเก้าอี้โยก
“ย่ามีเรื่องบางอย่างที่อยากจะขอร้องเธอเป็นการส่วนตัว มันเป็นเรื่องที่ย่าขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่ได้หรอก เพราะคิดดูแล้วเห็นว่าคงไม่มีใครสามารถทําได้...
“ธัดน่ะคงทําใจไม่ได้แน่...อันที่จริงก็เคยคิดว่าจะเลือกแครี่เป็นคนแรก แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเขาหรอกนะ แต่เพราะว่า...มันพูดไม่ออก สําหรับเธอน่ะ ย่าเลือกเป็นคนสุดท้าย เพราะกลัวว่า...ว่าเธอจะปฏิเสธ...
“เดี๋ยว...อย่าเพิ่งพูดอะไรนะไอวี่ ฟังที่ย่าจะพูดให้จบเสียก่อนแล้วค่อยให้คําตอบย่าก็ได้ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งนะไอวี่ ย่าอยากจะให้เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราสองคน ไม่อยากให้เธอเล่าให้ไรเล่ย์ฟังด้วย...
“อันที่จริงย่าก็รู้อยู่ว่ามันไม่เป็นการถูกต้องที่ย่าจะขอร้องให้เธอเก็บเรื่องบางอย่างไว้เป็นความลับไม่บอกให้เขารู้...ตายจริง...รู้สึกว่าย่าพูดจาอ้อมค้อมมากเกินไปแล้วใช่ไหมนี่”
ไอวี่พยายามฝืนยิ้มปลอบใจ หัวใจเต้นระทึกอยู่ในอก จับตามองบิลลี่ดึงอะไรบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ และไม่รั้งรอที่จะยื่นมือออกไปรับแม้จะเต็มไปด้วยความสงสัยก็ตาม
“นี่เป็นพินัยกรรมหรือที่ถูกน่าจะเรียกว่าความตั้งใจในขณะที่ย่ายังมีชีวิตอยู่มากกว่า” บิลลี่พูดเสียงเข้ม “ย่าอยากจะให้เธอรับปากว่าจะทําตามความต้องการ เพราะว่าธัดกับครอบครัวของย่าน่ะไม่สามารถทําสิ่งนี้ได้หรอก...
“การที่ย่าเลือกเธอก็เพราะเธอเตือนใจให้ย่านึกถึงตัวเองเมื่อครั้งที่ยังอายุน้อยแค่นี้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ย่ารู้ว่าเธอน่ะมีสติปัญญามากกว่าย่าในตอนนั้นแน่ เธอจะช่วยย่าได้ไหมล่ะ ไอวี่”
ไอวี่พยักหน้ารับโดยไม่จําเป็นต้องคิดถึงเหตุผลหรือความถูกต้องแต่อย่างใดทั้งสิ้น
“แต่...เอ้อ...ในเทปม้วนนี้มันมีอะไรหรือคะคุณย่า แล้วคุณย่าจะให้ดิฉันดูมันเมื่อไหร่ล่ะคะ”
“ดูเสียตอนนี้เลยดีไหมล่ะ เธอมีวิดีโออยู่แล้วนี่ บางทีมันอาจจะดีเหมือนกันนะถ้าเราจะได้เทปม้วนนี้ด้วยกัน” บิลลี่พูดเสียงเบา แววในดวงตายังบอกความกังวล
