บทที่ 6
“ตลอดเวลาที่เราคิดว่ามัมกับธัดเดินทางท่องเที่ยวรอบโลกนั่นน่ะ จริง ๆ แล้วสองคนนั้นไม่ได้ไปไหนเลย อยู่ในเวอร์มองท์ตามคําแนะนําของหมอตลอดเวลา เราเพิ่งรู้กันนะแรนด์ ว่ามัมเป็นมะเร็ง...เวลานี้รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปมาก...
“ซูซานน่ะร้ายกาจยิ่งกว่าแม่มด เวลานซอว์เยอร์มาอยู่ที่นี่แล้ว โคลกับไรเล่ย์กําลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง ฉันอยากให้คุณอยู่กับฉันที่เหลือเกินค่ะแรนด์” หางเสียงนั้นปนสะอื้น “ฉันทําใจกับเรื่องนี้ไม่ได้เลยจริง ๆ ช่วยพูดอะไรสักอย่างสิคะ อะไรก็ได้ ขอแต่เพียงพูดกับฉันเท่านั้น...”
“แม็กกี้ ผมเสียใจเรื่องบิลลี่เหลือเกิน เสียใจจนบอกไม่ถูก เอาละ ผมจะไปที่นั่นเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้” เขาอยากจะบอกให้เธอผสมเครื่องดื่มให้ตัวเองสักแก้ว แต่ไม่กล้าพอ เพราะแม็กกี้ไม่แตะต้องเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์มาหลายปีแล้ว
แรนด์กวาดสายตามองไปรอบห้องครัวราวกับเพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก ตัดสินใจไม่ตกว่าเขาควรจะออกเดินทางเสียเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องสนใจกับเรื่องการเก็บสมบัติของซูซานอีกต่อไปดี หรือจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และออกเดินทางแต่เช้า ซึ่งเขาอาจจะบินไปเท็กซัสพร้อมวาเลนไทน์ได้อยู่แล้ว
ทันใดเขาก็บังเกิดความชิงชังทั้งซูซานและรถคันนั้นขึ้นมา และไม่รั้งรอที่จะระบายความรู้สึกนี้ให้ภรรยาฟังด้วย แต่เสียงทางปลายสายเงียบกริบ แม็กกี้ไม่ได้ตอบโต้คําพูดของเขาแต่อย่างใด แรนด์จึงวางโทรศัพท์ลง
“แรนด์ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ทําไมหน้าตาคุณซีดเผือดยังงั้นล่ะ” วาเลนไทน์ถามขึ้น
ซึ่งเขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง
วาเลนไทน์ใช้ความคิดอยู่กับเรื่องนั้นเป็นครู่ รู้สึกสะท้อนใจอย่างบอกไม่ถูก บิลลี่ โคลแมนส์ คิงสเล่ย์ ยังไม่แก่ถึงขนาดที่จะต้องตายลงในตอนนี้เลย
จะด้วยเหตุผลประการใดก็บอกไม่ถูกที่เธอไม่เคยคิดถึงบิลลี่ในฐานะที่เป็นโคลแมนส์คนหนึ่ง บิลลี่คือบิลลี่ เป็นกระดูกสันหลังอันแข็งแกร่งของโคลแมนส์ เป็นครั้งแรกที่เธอไม่สามารถอําพรางความเศร้าสลดไว้จากสีหน้าได้
“คุณคงกลุ้มใจมากนะคะแรนด์ บิลลี่เหมือนแม่แท้ ๆ ของคุณด้วย ฉันอยากจะให้ตัวเองคิดหาคําพูดอะไรสักอย่างที่มันจะพอปลอบใจคุณได้บ้าง แต่ก็จนปัญญาเหลือเกิน”
วาเลนไทน์รีบถอยออกห่างเมื่อแรนด์ทําท่าเหมือนจะรั้งตัวเธอเข้าสู่อ้อมแขน ขณะนี้เธอยังทําใจให้ยอมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาไม่ได้
“เอายังงี้แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะทํากริลล์ ชีส แซนด์วิช แล้วจะขึ้นไปช่วยคุณเก็บของ ฉันรู้ค่ะว่าเมื่อกี้ปฏิเสธ ว่าจะไม่ยอมช่วยคุณในเรื่องนั้นอย่างเด็ดขาด แต่ตอนนี้เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันว่าพรุ่งนี้เราบินกลับพร้อมกันเลยดีกว่า ไอ้รถบ้าคันนั้นมันไม่มีความสําคัญอะไรอีกต่อไปแล้วละ แล้วเราจะต้องไปห่วงมันทําไมจริงไหม...” เธอพูดอย่างใช้ความคิด
“ที่พูดนี่ก็เพราะฉันมองเห็นอยู่ว่ารถคันนั้นมันมีประกัน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เราโทรศัพท์ไปบอกบริษัทประกัน แล้วก็ส่งเอกสารที่เขาต้องการมาให้ทางแฟ็กซ์เมื่อเรากลับถึงบ้านแล้ว ถ้าเราเก็บของเสร็จคืนนี้ พรุ่งนี้เช้าเรื่องนี้ก็เรียบร้อย”
แรนด์ยกมือขึ้นเสยผมอย่างกลัดกลุ้มใจ ฝ่ามือที่ทาบลงบนท่อนแขนนั้นอ่อนโยน บอกถึงความเห็นใจยิ่งนัก เขาก้มลงมองหน้าเธอด้วยความซาบซึ้งใจ
“ฉันเข้าใจดีค่ะว่าตอนนี้คุณมีความคิดหรือรู้สึกยังไง” วาเลนไทน์พูดเสียงเบา “อย่าเพิ่งท้อใจเลยค่ะแรนด์ ใช่ว่าโลกมันจะแหลกสลายลงเดี๋ยวนี้เมื่อไหร่กันเล่า ฉันยังจําได้ว่าตอนที่แม่คุณตายคุณก็คิดว่าตัวเองจะผ่านเหตุการณ์ช่วงนั้นไปไม่ได้เหมือนกัน เราคุยกันที่งานศพ แต่คุณอาจจะจําไม่ได้หรอกเพราะกําลังเสียใจมาก...
“แต่แรนด์คะ ถึงยังไงชีวิตมันก็ยังต้องดําเนินต่อไปนะ บิลลี่น่ะ...เอ้อ...มันมีหนทางเป็นไปได้ตั้งมากมายที่จะทําให้ท่านอายุยืนยาวกว่านี้ ทุกวันนี้มันมียาใหม่ ๆ วิธีการรักษาใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา...
“แล้วอีกอย่างหนึ่งนะคะ พวกโคลแมนส์น่ะใจคอเข้มแข็งออกจะตายไป ฉันรู้ค่ะว่าคุณอาจจะไม่ใช่โคลแมนส์ แต่ถึงยังไงคุณก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีใครสักคนที่จะเป็นตัวเชื่อมทุกคนในครอบครัวนี้ให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันต่อไป คนนั้นก็คือคุณนั่นแหละ ไม่ใช่ใครอื่นหรอก...” สีหน้าเธอเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม
“แครี่น่ะไม่มีทางทําได้อยู่แล้ว...และธัดก็...ธัดเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากคุณเหมือนกัน ทุกคนในครอบครัวล้วนแต่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ไรเล่ย์นั่นแหละ....
“เท่าที่ฉันฟังจากไอวี่ครั้งล่าสุดที่เราพบกันน่ะ ทุกวันนี้เขาก็ยังทําใจให้ยอมรับกับความตายของคุณตาไม่ได้นะคะ เพราะฉะนั้นข่าวนี้มันคงกระแทกใจเขาอย่างแรงทีเดียว โคลน่ะรักคุณยายยิ่งกว่าแม่ คุณคนเดียวเท่านั้นแรนด์ที่จะช่วยให้พวกเขาอยู่ร่วมกันต่อไปได้”
“เท่าที่ฟังจากแม็กกี้...” เขาเอยอย่างกลัดกลุ้มใจ “รู้สึกว่าซูซานคงจะทนอยู่กับเราไม่ได้ สําหรับซอว์เยอร์น่ะ...ถ้าลงว่าเขาจะทําอะไรแล้วไม่มีใครขวางทางเขาได้หรอก แล้วผมจะจัดการกับเรื่องพวกนั้นได้ยังไงกันเล่า”
“คุณก็บอกซูซานให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่อย่างคนอื่น ๆ เสียทีสิคะ สําหรับซอว์เยอร์ ฉันว่าไม่เห็นจําเป็นที่คุณจะไปเป็นทุกข์ร้อนอะไรกับเขานี่คะ อดัมอยู่กับเขาแล้วทั้งคน เขาสามีภรรยากันย่อมช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ความคิดของเขาสองคนก็เท่าเทียมกัน ฉันว่าคุณไว้ใจอดัมได้นะคะ”
แรนด์วางมือลงบนไหล่ทั้งสองของวาเลนไทน์ จ้องลึกลงไปในดวงตาของเธอ
“ทําไมคุณถึงฉลาดอย่างนี้นะวาล”
“เพราะว่าฉันไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกับคุณ เพราะฉะนั้นฉันย่อมพูดอะไรก็ได้ คุณคงไม่ลืมว่าฉันมีความเป็นทนายอยู่ในตัว”
“หมายความว่าคุณยังไม่เปลี่ยนใจที่จะลาออก”
“แน่นอน”
“ผมอยากให้คุณคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดีอีกสักครั้งนะวาล”
“ไม่ละค่ะ”
เขาช่างยืนอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน ใกล้จนเธอสามารถได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอาฟเตอร์เชพ ไรเคราที่ต้องแสงแดดอนยามตะวันชิงพลบ เธอยืนตัวแข็งอยู่ภายใต้สัมผัสนั้น เธอไม่สงสัยเลยว่าถ้าเพียงแต่เธอจะคว้ามือจูงเขาให้เดินตามขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบนแล้ว มันก็อาจจะ...เธอสะบัดหน้าขับไล่ความคิดนั้นออกจากสมอง
“ฉันหิวแล้ว และคุณก็ยังต้องขึ้นไปทํางานบนห้องใต้หลังคาอีก...เดี๋ยวพอฉันทําอาหารเสร็จจะเรียก” เธอสะบัดไหล่ให้พ้นจากการเกาะกุม ครู่ต่อมาแรนด์ก็เดินออกจากห้องครัว เธอได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินอยู่เหนือศีรษะ
ความรู้สึกอยากจะร้องไห้นั้นรุนแรงนัก วาลเปิดฟรีซเซอร์ชะโงกหน้าเข้าไปภายใน ความเย็นเยือกที่พุ่งมากระทบช่วยให้การควบคุมอารมณ์ของตนเองกลับคืนมา แต่บางที...ถ้าได้ร้องไห้เสียบ้างก็คงจะดี หมอเคยแนะนำไว้ว่าไม่ควรปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความตึงเครียดโดยไม่จําเป็น
เธอทํางานอย่างอัตโนมัติ หยิบอาหารออกมาจากตู้เย็นและฟรีซเซอร์ เอาใส่ไมโครเวฟ หลังจากนั้นก็ตั้งโต๊ะ ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยอย่างเด็ดขาด มันออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกที่เธอไม่สามารถแยกอารมณ์ออกจากงานที่กําลังทําอยู่ตรงหน้าได้
และตอนนั้นเองที่เธอมองเห็นความปรารถนาในใจของตัวเองอย่างแจ้งชัด เธออยากร่วมหลับนอนกับแรนด์ อยากรู้เหลือเกินว่าความรู้สึกมันจะเป็นอย่างไร ถ้าเธอจะได้ร่วมหลับนอนกับผู้ชายคนที่เธอแอบชื่นชมในตัวเขามาเป็นเวลานาน ผู้ชายคนที่เธอเลือก
เธอนึกไปถึงผู้ชายทุกคนที่เคยร่วมหลับนอนกับเขาด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน หลายต่อหลายครั้งที่เธอเฝ้าถามตัวเองว่า เธอจะได้มาอยู่ตรงจุดนี้หรือไม่ถ้าเธอไม่ทําเช่นที่เคยทํามาแล้วทั้งหมด ถ้าจะให้ตอบด้วยความจริงใจก็คือ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย...
เธอจะไม่มีวันก้าวหน้ามาถึงจุดนี้ ไม่มีเงินทองมากพอที่จะตั้งสํานักงานทนายความของตนเองขึ้น จะไม่มีฐานะความเป็นอยู่อย่างมั่งคั่งเช่นที่เป็นทุกวันนี้
แต่ในชีวิตนี้เธอไม่เคยพานพบความรักที่แท้จริง ไม่เคยมีลูก ไม่เคยแม้แต่จะจริงจังในความสัมพันธ์กับชายใด
แต่ทว่า มันจะมีประโยชน์อะไรที่เธอจะมีทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่ไม่มีใครจะร่วมรับรู้และชื่นชมด้วย และถ้าวันใดเธอตายลงใครเล่าที่จะรับมรดกทั้งหมดที่สร้างสมขึ้นไว้ ใครที่จะรําลึกนึกถึง ใครที่จะไปยืนหลั่งน้ำตากับการจากไปของเธอ...
ขณะที่ควานหาที่ปิ้งขนมปังอยู่นั้น วาเลนไทน์คิดไปถึงเพื่อนฝูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพียงผู้ที่รู้จักมักคุ้นมากกว่าเพื่อนสนิท คนเหล่านั้นล้วนเป็นทนายความเช่นเดียวกับเธอ ต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าทันสมัยทุกคน ต่างมีตาเหยี่ยวและจิตใจที่คมเข้ม สมองที่ฉลาดปราดเปรื่อง อาจจะเคยสังสรรค์ เคยไปงานปาร์ตี้ร่วมกันบ้าง มีความสุขกับการที่ได้ถูกปัญหาในเรื่องเดียวกัน แต่ทว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่คุณจะโทรศัพท์ไปหาและร้องไห้ด้วยได้หรือ
ไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นไปได้ ตราบใดที่คุณยังต้องทํางานอยู่ในโลกของผู้ชายแล้ว คุณจะหลั่งน้ำตาให้ใครเห็นไม่ได้อย่างเด็ดขาด คุณจะต้องดิ้นรน ปากกัดตีนถีบด้วยความหวังที่จะให้ได้มาแต่สิ่งดีที่สุด
ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตสร้างความเบื่อหน่ายให้อย่างที่สุด เบื่อหน่ายครอบครัวที่เธอจะต้องดูแลรักษาผลประโยชน์ให้ เบื่อหน่ายกับอาชีพทนายความที่ไม่เคยมีเวลาผ่อนพัก
เธอคิดถึงเมืองออกซ์มอร์และดรั้กสโตร์ของบรอดี้ บังเกิดความประทับใจกับบรรยากาศของเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบแห่งนี้อย่างบอกไม่ถูก
เธอกําลังถามตัวเองอยู่ว่า บรรยากาศของเมืองนี้จะเหมาะกับตัวเองหรือไม่ มันจะมีความแปลงเปลี่ยนใดเกิดขึ้นบ้าง ถ้าเธอจะตั้งรกรากเสียที่นี่ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะตั้งสํานักงานทนายความเล็ก ๆ ขึ้น มีรายรับเพียงแค่การให้คําปรึกษาหารือในข้อกฎหมายเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น...
ทุกสิ่งย่อมมีความเป็นไปได้เสมอ สิ่งที่คนเราจะต้องทําก็เพียงแค่ตัดสินใจเท่านั้น...
