บทที่ 5
ต่างนั่งรถกันไปในความเงียบเป็นครู่ ในที่สุดแรนด์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน ซึ่งก็เป็นขณะเดียวกันกับที่เลี้ยวเข้าสู่ลานจอดรดพยาบาล
“คุณเป็นคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนนะ”
“ถ้าฉันจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน ก็อาจจะเป็นเพราะความอยากป้องกันตัวเองที่จะต้องนั่งกินอาหารค่ำ นั่งคุยกับคุณด้วยเรื่องส่วนตัว ฉันอยากให้มันเป็นภาพของเพื่อนเก่าสองคนที่ใช้เวลาในยามค่ำด้วยกันเท่านั้น”
“เออ...ทําไมผมถึงรู้ได้นะว่าปอร์เช่คันนั้นมันสีแดง แล้วทําไมผมถึงรู้ด้วยล่ะว่าเฟอริสเอาป้าย ‘ด๊อคเตอร์’ ติดไว้เหนือป้ายทะเบียนรถ” แรนด์เอ่ยขึ้นเมื่อนำรถเข้าจอดเทียบ
“ก็เพราะว่า...” วาเลนไทน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผู้ชายก็เหมือนเด็ก ๆ ไงล่ะคะ และเด็กทุกคนย่อมทําอะไรที่ผู้ใหญ่ทายกันได้ทั้งนั้น” เธอลงจากรถเดินไปยังปอร์เช่สีแดงแอปเปิ้ล
“ผมยังไม่รู้เลยว่าซูซานจะขับรถแบบนี้ได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้ก็เรียนได้นี่คะ”
“รู้สึกว่าคุณจะไม่ชอบซูซานเลยนะ แล้วแม็กกี้ล่ะชอบไหม”
“อยากฟังความจริงหรือคะ” เธอย้อนถามและเขาก็พยักหน้ารับ
“ก็ไม่เชิงหรอกนะ จริง ๆ แล้วฉันชื่นชมเอมิเลียมากกว่า แต่คนที่ชอบมากคือบิลลี่, ซอว์เยอร์เป็นผู้หญิงสมัยใหม่แบบที่ฉันชอบ เป็นคนที่มีอัจฉริยะอยู่ในตัว ฉันไม่ชอบสิ่งที่คุณเคยทำกับเขาเลยนะแรนด์ เอมิเลียกับบิลลี่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
“จีซัส คุณจะให้ผมแต่งงานกับซอว์เยอร์ได้ยังไงในเมื่อผมไม่เคยรักเขา และจะยังไงก็ตาม มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดหรอกนะ เรื่องระหว่างผมกับซอว์เยอร์น่ะ เด็ดขาดกันไปก่อนที่ผมจะหลงรักแม็กกี้เสียด้วยซ้ำ ถ้าคุณพอมีน้ำใจที่จะพูดอะไรดี ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างแล้วละก้อ ผมยินดีรับฟังอย่างยิ่งเชียววาล”
“ก็...แล้วแต่คุณจะพูดดีกว่า” วาลยักไหล่
“โอเค...” แรนด์ต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมว่าเราออกจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
จนเมื่อเขาพาปอร์เช่คันนั้นวิ่งไปตามเส้นทางชนบทแล้ว แรนด์จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“คุณชอบไวน์หรือเปล่าล่ะ”
“สําหรับฉันเบียร์ดีกว่าค่ะ ไวน์กินแล้วเพลีย”
“ผมว่านะ...” เขาพูดอย่างใช้ความคิด “ในเมื่อตอนนี้เรื่องราวทั้งหลายแหล่นั่นมันก็จบลงด้วยดี คุณนั่งรถกลับไปเท็กซัสกับผมยังจะดีกว่า ผมหมายถึงว่าถ้าคุณไม่มีงานเร่งด่วนรออยู่ หรือถ้าไม่อยากนั่งรถคุณจะบินด้วยเครื่องเที่ยวเช้าก็ยังได้”
“ฉันจะลองคิดดูก่อนค่ะ เพราะยังมีเวลาเหลือสําหรับตัวเองอยู่อีกสองสามวัน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันจะต้องบอกให้คุณรับรู้ตั้งแต่ตอนนี้เลยก็คือ ฉันไม่ชอบเดินทางด้วยรถยนต์ เอาละ แล้วเรื่องดินเนอร์ล่ะ วันนี้ฉันกินแต่น้ำตาล แล้วก็กินเข้าไปแยะด้วย ชักจะเริ่มหิวแล้วนะนี่”
“ในตู้เย็นมีอาหารตุนไว้แยะ ในโรงรถมีเบียร์อยู่เป็นลัง เพราะฉะนั้นคงไม่จําเป็นต้องแวะที่ไหนหรอก และคืนนี้เราคงจะต้องพักอยู่ที่บ้านของเฟอริสนั่นแหละ”
“ตายจริงแรนด์ นี่คุณไม่ได้อ่านเอกสารที่ฉันทิ้งไว้ให้เลยหรือคะ ฉันต้องใช้เวลาตั้งสามวันที่จะเอาบ้านหลังนั้นมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้เลยว่าคุณจะออกจากบ้านนั้นเมื่อไหร่ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคุณเก็บข้าวของของซูซานใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้วหรือยัง แล้วของที่อยู่บนห้องใต้หลังคาล่ะคะ”
“ผมลืมเรื่องห้องใต้หลังคาเสียสนิทเลย” เขาตบหน้าผากตนเอง
“แล้วห้องลูกซูซานล่ะคะ”
“ผมก็ตั้งใจจะถามคุณเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน ทุกอย่างมันก็ยังอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ ทั้งตุ๊กตา ของเล่น เสื้อผ้าในลิ้นชักในตู้ เมื่อคืนผมโทรกลับไปบ้าน แต่สาวใช้บอกว่าแม็กกี้ไปเท็กซัสกับซูซาน เมื่อเช้าก็ลองโทรไปอีกครั้งแต่ไม่มีคนรับ...” เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“เอายังงี้นะ ผมคิดว่าเราเก็บข้าวของพวกนั้นใส่หีบไว้ก่อนก็แล้วกัน หลังจากนั้นก็ส่งมันไป...ที่ไหนดีล่ะ...เท็กซัสหรือว่าฮาวาย”
“ฉันไม่ได้เก็บของให้ซูซานหรอกนะคะ แรนด์ เพราะฉะนั้น ถ้าพรุ่งนี้เช้าคุณยังเก็บของไม่เสร็จ ฉันก็บินไปก่อน หน้าตาคุณบอกความโล่งใจมากเลยนี่”
ที่จริงคําว่า “โล่งใจ” ยังไม่ได้ครึ่งของความรู้สึกที่กําลังเกิดอยู่กับเขาในขณะนี้ มันคล้ายกับเขาใกล้จะเสียสติกับภาพต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นในมโนภาพ ตัวเบาหวิวเมื่อก้าวลงจากรถ ออกจะดีใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้ บอกตัวเองอยู่ว่า หลังจากกินอาหารค่ำแล้ว เขาจะรีบลงมือจัดเก็บข้าวของทุกชิ้น โดยที่วาเลนไทน์อาจจะดูโทรทัศน์ หรือทําอะไรอย่างที่ทนายความทุกคนทําเมื่อมีเวลาว่างได้
“ใครจะเป็นคนทําอาหารค่ำล่ะ” วาเลนไทน์ถาม ขณะเดินตามแรนด์เข้าไปในบ้าน
“คุณก็แล้วกัน”
“ก็ได้” วาลยิ้มกว้าง
“ดี เสร็จแล้วเรียกด้วยก็แล้วกัน ผมจะลงมือเก็บของเลย”
เสียงกริ่งโทรศัพท์ที่เพิ่งต่อสายได้เมื่อตอนเที่ยงกรีดก้องขึ้นในนาทีนั้น เขาเอื้อมมือผ่านวาเลนไทน์ไปรับ ก่อนที่เขาจะพูดอะไรลงไปในโทรศัพท์ที่สังเกตเห็นอยู่ว่า วาเลนไทน์เดินออกจากครัว แต่กระนั้นมันก็ยังทําให้เขาระมัดระวังการใช้น้ำเสียงอยู่นั่นเอง
เขาอดคิดถึงแครี่ไม่ได้ ยังจําได้ดีถึงความโกรธเคือง ตอนที่แครี่สารภาพความผิดในทางชู้สาวของตนเอง แต่ขณะนี้มันคล้ายกับเขาได้เริ่มต้นการทําแบบเดียวกันนั้นแล้ว
“เป็นอะไรไปหรือคะแรนต์” แม็กกี้ถามเสียงเข้มอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน “แรนด์คะ...ฉันจําเป็นจะต้อง...คือมันมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น ตอนนี้แครี่อยู่ในโรงพยาบาลนะคะ อาการค่อนข้างหนักทีเดียว...
“เมื่อเช้าฉันให้ซูซานติดต่อไปที่บริษัทโทรศัพท์แต่เช้า ให้เขารีบต่อสายให้เพื่อที่ฉันจะได้พูดกับคุณ...คือฉันมีความคิดว่าคุณควรจะมาที่นี่... ทุกคนควรจะมาอยู่ที่นี่... นั่นคุณยังไม่ได้พูดอะไรสักคําเลยนะแรนด์...เป็นอะไรไป มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะ”
“อ๋อ...เปล่า เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่แครี่เถอะ เกิดอะไรขึ้นกับเขาล่ะ อุบัติเหตุที่คุณว่าน่ะมันเกิดจากอะไร แล้วที่ว่ารุนแรงน่ะมันขนาดไหน”
“ฉันรู้เท่าที่ธัดเล่าให้ฟังเท่านั้นซึ่งมันก็ไม่มากอะไรนักหรอกค่ะ เห็นว่าแครี่ได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา แล้วก็ถูกไฟลวกทั้งตัว แต่ยังมีอีกหนึ่งเรื่องค่ะแรนด์ เรื่องมัม...ฉันอยากให้คุณมาอยู่กับฉันที่เหลือเกิน” แม็กกี้พูดเสียงเครือ
“แม็กกี้ คุณฟังผมก่อนนะ ก่อนอื่นผมขอรับรองว่า จะกลับไปให้ถึงบ้านเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ แต่ผมไม่อยากรีบกลับไปโดยที่ยังทําอะไรไม่เสร็จ พูดง่าย ๆ ก็คือผมไม่อยากไปแล้วก็ต้องกลับมาอีก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะกลับพรุ่งนี้แต่เช้าเลย ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถช่วยแครี่ได้แล้วละก้อ ผมจะไปโดยไม่รั้งรอเลย ซึ่งเรื่องนี้คุณรู้ดีอยู่แล้วนี่” อีกครั้งหนึ่งที่เขาคิดถึงแครี่กับความผิดพลาดในชีวิต ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมจะต้องคิดถึงเรื่องนั้น
“เสียงคุณแปลกไปนะคะ” แม็กกี้พูดราวจะตั้งข้อสังเกต
“โธ่ แม็กกี้ คุณเพิ่งจะบอกข่าวร้ายผมอยู่หยก ๆ แล้วจะให้ผมทําเสียงยังไงเล่า และอีกอย่างหนึ่งนะ ผมมั่นใจว่าถ้าแม่คุณอยู่ที่นั่นด้วยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
“แล้ววันนี้คุณทําอะไรอยู่ทั้งวันล่ะคะ ฉันพยายามต่อโทรศัพท์มาหาคุณตั้งหลายครั้ง”
เขาเชื่อว่าตัวเองไม่ได้คิดมาก น้ำเสียงของแม็กกี้ยามนี้ ช่างชาเย็นเสียเหลือเกิน มันทําให้เขาอดขนลุกกับความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันไม่ได้
“ยังมีอะไรที่คุณยังไม่ได้เล่าให้ผมฟังอีกงั้นหรือ แม็กกี้” เขากลั้นใจถามออกไป
“เราจะพูดกันเมื่อคุณมาถึงที่นี่ค่ะ คุณยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังเลยว่าเมื่อตอนกลางวันหายไปไหนมา”
“ไปเอารถปอร์เช่ เวลานี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนอกจากเรื่องเดียวเท่านั้น คือผมไม่รู้จะทํายังไงกับข้าวของของเจสซี่ แล้วก็ของที่เก็บไว้ในห้องใต้หลังคา” หลังจากนั้นเขาก็เล่าถึงงานที่วาเลนไทน์ไปทำมาให้ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างขุ่นเคือง
“ฉันรู้ค่ะว่าวาลเขาต้องจัดการเรื่องนี้ได้แน่ ดีใจแทนซูซานด้วยซ้ำที่เรามีทนายดี ๆ อย่างนี้ พนันกันก็ได้ ว่าเขาจะต้องเรียกค่าใช้จ่ายสูงลิ่วทีเดียว”
“คุณห่วงเรื่องนั้นด้วยงั้นหรือ” แรนด์ถามอย่างไม่พอใจ
“เปล่าเลย เพราะรู้ว่าเขาทํางานคุ้มกับเงินทุกเพนนีที่เราจ่ายให้ ดัดเล่ย์ แอบแรมสัน เองก็ยังชมว่าเขาเป็นทนายที่เก่งมาก หวังว่าคุณคงจะไม่ใช้งานเขาหนักเกินไปนักหรอกนะคะ”
“คงไม่หรอก เพราะเขาเองก็จะเดินทางกลับพรุ่งนี้เช้าเหมือนกัน เมื่อตอนบ่ายไปไม่ทันเครื่องบิน นี่เขาตกลงว่าจะช่วยทําอาหารค่ำ ส่วนผมก็จะรีบขึ้นไปจัดเก็บข้าวของ เขาปฏิเสธที่จะช่วยผมเรื่องนั้น”
“กับค่าจ้างชั่วโมงละสามร้อยห้าสิบน่ะ เขาไม่ช่วยเก็บของให้อยู่แล้วละ”
“ผมคิดว่าคุณชอบวาลเสียอีก”
“ฉันชอบที่เขาเป็นทนายความที่มีความสามารถ ฉันคงไม่คิดจะจ้างใครอื่นหรอก แต่เขาออกจะเป็นคนใช้ชีวิตง่ายเกินไปในความรู้สึกของฉัน ว่าแต่คุณจะกลับมาเที่ยวเดียวกับวาลหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่หรอก ผมจะขับปอร์เช่กลับเท็กซัส เล่ารายละเอียดเรื่องแครี่ให้ผมฟังหน่อยสิ”
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่า ถูกไฟลวก แล้วดวงตาก็...เอ้อ...ค่อนข้างสาหัสอยู่ นั่นมันข่าวร้ายนะ ข่าวดีก็มีอยู่ว่าประสาทตาไม่ได้รับความเสียหาย แต่มันยังมีเรื่องอื่นอีกนะคะแรนด์ คือมัม...ตอนนี้กำลังเจ็บหนักทีเดียว...” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเครือ
