บทที่ 2
ธนาคารเกือบจะปลอดคน ตอนที่วาเลนไทน์เดินเข้าไป เธอเดินดิ่งไปยังห้องทํางานส่วนตัวของประธานธนาคารแห่งนั้น รอยยิ้มที่ธอส่งให้บุรุษศีรษะล้านนั้นขนาดห้าร้อยวัตต์ทีเดียว มือที่สัมผัสกันอยู่แน่นกระชับ และดวงตาก็เป็นประกายพราวขึ้น เมื่อประธานธนาคารผู้นั้นจับมือเธอไว้นานกว่าปกติ
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง เมื่อเอกสารที่ส่งมาทางแฟ็กซ์ครบจำนวนสี่สิบห้าแผ่น
“ยอดเยี่ยมเลยค่ะ ฉันไม่รู้จะขอบใจคุณยังไงจริง ๆ นะคะฮาร์รี่ที่ใจดีกับฉันถึงขนาดนี้ ทั้งหมดนี่เป็นเอกสารที่ฉันต้องการทั้งนั้นเลยค่ะ แล้วก็จำเป็นต้องใช้ด้วย ต้องขอบคุณอีกครั้งที่คุณอนุญาตให้ฉันขอยืมใช้เครื่องแฟ็กซ์ได้”
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ คุณผู้หญิง เพราะที่นี่เราพร้อมจะให้บริการกับลูกค้าอยู่แล้ว แม้ว่าคุณจะไม่ใช่ลูกค้าของเราเลยก็ตาม ผมเสียใจจริง ๆ ที่ได้ยินข่าวว่ามิสซิสอาร์มสตรองต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เธอเป็นสุภาพสตรีที่มีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัว ผู้คนที่อยู่ในละแวกนี้ก็ให้ความเคารพนับถือสามีเธออย่างดี” หางเสียงเขาแผ่วเบาลง เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าขณะนี้ทนายความสาวใหญ่กำลังถือเอกสารอยู่ในมือ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะปิดปากให้สนิททีเดียว”
วาลส่ายนิ้วใส่หน้าเขาอย่างยั่วเย้า
“ถ้าข่าวนี้มันรั่วออกไป ฉันรู้ค่ะว่าจะหาแหล่งข่าวได้จากที่ไหน” เธอยิ้มขนาดห้าร้อยวัตต์ให้เขาอีกครั้ง
“มิสซิสอาร์มสตรองน่ะเป็นสุภาพสตรีนะครับ” เขาพูดอย่างอ่อนแรง
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะฮาร์รี่ บางทีคราวหน้าถ้าฉันแวะเวียนมาที่เมืองเล็ก ๆ นี่ของคุณอีก เราควรจะทานอาหารกลางวันด้วยกันสักมื้อนะคะ”
“ดีมากทีเดียวครับ มิสมิทเชล ถ้าผมจะรับใช้ได้อีกละก้ออย่างลังเลใจเลยนะครับ”
“โอ...ไม่หรอกค่ะ”
ทุกสายตาที่อยู่ในธนาคารแห่งนั้น มองตามหลังวาเลนไทน์ที่เดินออกประตูธนาคารไป
จุดต่อไปที่เธอแวะคือร้านขายยาบนถนนเมน สตรีท เธอใช้โทรศัพท์ที่ร้านนั้นติดต่อไปหา นายแพทย์เฟอริส อาร์มสตรอง ขอนัดหมายเวลาที่จะเข้าพบ โดยใช้ชื่อปลอมว่าลินดา เบเคอร์ และในที่สุดหลังจากที่รออยู่นานพอควรจึงยิ้มออกมาได้ เมื่อนางพยาบาลสาวแจ้งมาว่าเธอสามารถเข้าพบได้ตอนสิบเอ็ดโมงสิบห้านาที
บรอดี้ เป็นร้านค้ายาแบบเก่าที่พรั่งพรอมด้วยเคาน์เตอร์ ม้ากลม และโซดา เฟาเท่น นอกจากนั้นก็ยังมีเดนนิชและอิงลิช มัฟฟิน ส่วนคอร์น มัฟฟิน นั้นวางรายเรียงอยู่บนกระดาษลายลูกไม้ภายใต้ฝาครอบพลาสติก
บนเคาน์เตอร์เดียวกัน ยังมีโถน้ำตาลแบบสมัยเก่า พร้อมด้วยช้อนเงินตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ บรรยากาศดีเหลือเกิน วาลคิดอยู่ในใจ เธอเลื่อนตัวขึ้นนั่งบนม้ากลมหน้าเคาน์เตอร์ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาด้านหลังเคาน์เตอร์
ขณะเดียวกันก็มองเห็นสลัดไข่ สลัดทูน่า สลัดผัก กับมะเขือเทศในตู้กระจก ซึ่งคงจะเตรียมไว้สําหรับขายเป็นอาหารกลางวัน กาเงินบรรจุกาแฟเรียกรอยยิ้มให้จุดขึ้นบนใบหน้า มันช่างสวยเหลือเกิน
“ขอกาแฟ ขนมปังปิ้งแล้วก็ครีม ชีส ด้วยนะคะ” เธอสั่งอาหารกับผู้หญิงในชุดเครื่องแบบสีน้ำตาล มีผ้ากันเปื้อนสีขาวคาดทับไว้ เดาเอาว่าหล่อนคงเป็นภรรยาเจ้าของร้าน
“ใช่ค่ะ ฉันคือมิสซิสบริดี้ รู้สึกว่าไม่เคยเห็นหน้าคุณเลยใช่ไหมคะ”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันมาธุระที่นี่น่ะ ฉันเคยเห็นร้านขายยาแบบนี้ครั้งหนึ่ง แต่ว่านานมาแล้วละค่ะ มันมีรูปแบบของมันเอง ฉันชอบมากเลยค่ะ” วาลบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ใช่ค่ะ เราอยู่ที่นี่มาชั่วชีวิต ลูกค้าของเราทุกคนสบายใจที่มาที่นี่ ถ้าจะพูดถึงความเปลี่ยนแปลง เราก็แก่เกินกว่าจะเปลี่ยนอะไรได้แล้วละค่ะ ที่จริงมันก็ยังมีร้านขายยาอีกแห่งหนึ่งที่เขาตกแต่งร้านด้วยสีสันสดใส ลูกค้าพลุกพล่านทีเดียวละค่ะ” มิสซิสบรอดี้ ทําสีหน้าเหยียดหยาม
“แต่ที่นี่ เราจะมีเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ไม่เอาอะไรต่อมิอะไรเข้าไปสุมไว้ในร้านแบบนั้นหรอก เราจะขายแต่เฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการ แล้วก็ให้เครดิตด้วย แต่ไม่ได้หมายถึงเครดิตการ์ดหรอกนะคะ เพราะเวลานี้ไม่มีร้านไหน เขารับเครดิตการ์ดกันอีกแล้ว”
“นั่นเป็นเรื่องสําคัญมากทีเดียว” วาลหยิบขนมปังปิ้งขึ้นกัด “คุณมีเชอรี่ ฟอสเฟท ด้วยหรือเปล่าคะ”
“มีสิคะ แล้วก็มีอย่างบีบมะนาวด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องใส่ค่ะ”
“แต่ที่นี่ต้องใส่ มันเป็นธรรมเนียมของเรา”
“งั้นเอาอย่างละถ้วยก็แล้วกัน” วาลตอบอย่างนึกขึ้น “อ้อ...เดี๋ยวขอซื้อลูกกวาดอันละหนึ่งเพนนีนั่นด้วยนะคะ ซื้อหมดทุกอย่าง เอาอย่างละอันก็พอ เอ๊ะ...ทําไมคุณถึงขายอันละเพนนีได้ล่ะคะ” เธอถามอย่างแปลกใจเต็มที
“ลูกกวาดนั่นเอาไว้ขายพวกเด็ก ๆ น่ะ แต่จริง ๆ แล้วเราแจกเสียมากกว่า พวกเด็ก ๆ จะไปมีเงินทองอะไร อย่างดีก็มีมาสักสองสามเพนนีเท่านั้น สนุกจะตายที่เห็นพวกแกซื้อลูกกวาดแล้ว ก็แกะกระดาษดูดกินกันเดี๋ยวนั้น คุณบรอดี้กับฉันน่ะมันคนไม่มีลูก ที่เราติดราคาไว้ก็เพียงแค่เอาไว้ขายผู้ใหญ่เท่านั้นละ”
“แล้วคุณรู้จักมิสเตอร์กับมิสซิสอาร์มสตรองไหมคะ” วาลถามต่อเรียบ ๆ
“รู้จักดีทีเดียวละ เรื่องเจสซี่น่ะเสียใจแทนเหลือเกิน แกชอบเลม่อน สติ๊ก ที่สุดเลยละค่ะ มิสซิสอาร์มสตรองน่ะมาที่นี่บ่อยค่ะ อาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง...
“หลังจากที่เจสซี่ตาย เธอก็ยังมาแล้วก็ซื้อเลม่อน สติ๊ก ครั้งละอัน แต่สําหรับตัวเธอไม่เคยซื้ออะไรมากกว่าไม้จิ้มฟันหรือไม่ก็แชมพู แต่สําหรับลูกแล้วเธอมีรายการยาวเหยียดเลยละค่ะ มันน่าเศร้าเหลือเกิน”
“ใช่” วาลพยักหน้ารับ “แล้วคุณหมออาร์มสตรองล่ะมาบ้างหรือเปล่า”
“นาน ๆ ครั้งค่ะ ส่วนใหญ่แล้วสั่งคนให้มาซื้อมากกว่า ส่วนมากก็เป็นพวกยาเส้น บางครั้งก็ลูกกวาดรสมิ้นท์ แต่พักนี้ไม่เห็นหน้าเขาเลยนะคะ มิสซิสอาร์มสตรองก็หายไปด้วย เขาเป็นเพื่อนคุณหรือคะ”
“ฉันน่ะรู้จักมิสซิสอาร์มสตรองดี แล้วก็เคยพบคุณหมออาร์มสตรองหลายครั้งอยู่เหมือนกัน เอ๊ะ...นั่นกลิ่นอะไรคะ” วาลส่ายจมูกดมกลิ่นนั้นอยู่ “เดี๋ยว...อย่าเพิ่งบอกนะคะ กลิ่นน้ำมะนาวนั่นเอง กลิ่นแป้งแม็กแฟคเตอร์ ยาเส้น แล้วกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ ๆ” เธอปัดเศษน้ำตาลออกจากปลายนิ้ว
คําพูดของเธอทําให้มิสซิสบรอดี้ยิ้มกว้าง...
วาลล้วงมือลงไปในกระเป๋า วางธนบัตรราคาห้าเหรียญลงบนเคาน์เตอร์
“ไม่ต้องทอนหรอกค่ะ มิสซิสบรอดี้” เธอหมุนร่างอยู่บนม้ากลม สอดส่ายตาไปทั่วร้าน ชอบตู้ไม้โอ๊ค ประตูกระจกกับชั้นไม้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“คุณทําโซดาแบล็คแอนด์ไวท์แบบที่ใส่ในแก้วทรงโบราณ แล้วก็ใช้จานรูปเรือใส่บานาน่า สปริท หรือเปล่าคะ”
“มีแน่นอนเลยค่ะ ไอศครีมแบบโฮมเมดด้วยนะคะ” มิสซิสบรอดี้พูดอย่างภาคภูมิใจ
“แล้วฉันจะกลับมาซื้อค่ะ”
“เราเปิดถึงหกโมงเย็นนะคะ” มิสซิสบรอดี้บอก และวาลก็พยักหน้ารับทราบ
เสียงกระดิ่งที่ตั้งอยู่เหนือประตูตอนก้าวออกจากร้าน ทําให้น้ำตาคลอ ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร เธอเดินอยู่บนทางสายด่วนนี่นานมากแล้ว จนลืมเสียสนิทว่า เมืองเล็ก ๆ ในแผ่นดินอเมริกานั้นเป็นอย่างไร เธอปาดน้ำตาออกจากแก้มเมื่อก้าวกลับขึ้นรถ จุดบุหรี่สูบขณะหยิบเอกสารปึกที่นายธนาคารส่งมาให้ขึ้นมาอ่าน
อีกสี่สิบนาทีต่อมา วาลก็ม้วนเอกสารนั้นเป็นท่อนกลมเอาหนังยางรัดไว้แน่น
“เอาละนะคะ คุณหมออาร์มสตรอง”
วาลขับรถผ่านตัวเมืองออกซ์มอร์ เพียงครู่ก็บรรลุถึงโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองมีป่าสนรายล้อม มันเป็นภาพที่สวยงามมาก วาลคิดอยู่ในใจ...เหมือนเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งทีเดียว แต่แม้มันจะเป็นเมืองน่าอยู่สักเพียงไหนก็ไม่เหมาะสมกับเธออยู่นั่นเอง เธอชอบแสงสีของเมืองใหญ่มากกว่า เมืองที่ประกอบด้วยตึกรามบ้านช่อง รถยนต์คันเพรียวงาม ชายหนุ่มหน้าตาดี
“ลางเนื้อชอบลางยา” เธอพูดอยู่กับตัวเองขณะจอดรถลง
ห้องทํางานส่วนตัวของนายแพทย์เฟอริส อาร์มสตรอง อยู่บนชั้นสองของตัวอาคารที่มีเตียงสําหรับผู้ป่วยเจ็ดสิบห้าเตียง นั่นเป็นความรู้ที่เธอได้รับจากพนักงานต้อนรับ
