4.หาตัวจนเจอ
***ทักทายคร้า ***
ใกล้เที่ยงธนาธรก็ลุกจากที่นอนนุ่มเดินออกไปยืนรับลมหน้าระเบียงห้องนอน มือหนาประสานบนศีรษะแล้วยกขึ้นสุดแขน ก่อนจะโยกตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบตามร่างกาย แต่แล้วการยืดเส้นยืดสายของชายหนุ่มก็หยุดลง เมื่อสายตามองเห็นรถลีมูซีนสีดำวาวจอดนิ่งอยู่ริมฟุตพาทตรงข้ามร้านดอกไม้ของน้องสาว ร่างสูงเพรียวเบี่ยงหลบข้างผนัง กวาดตามองไปตามความยาวถนน ใบหน้าคมสันเครียดเคร่ง ใจห่วงไปถึงน้องสาวที่อยู่ข้างล่าง ธนาธรรีบวิ่งไปหยิบปืนที่อยู่ใต้หมอนแล้ววิ่งลงบันไดไปอย่างร้อนใจ
“พิมพ์ พิมพ์!” เสียงเรียกของพี่ชาย ทำให้มือเรียวสวยที่จัดดอกไม้ชะงักหันมองไปที่ต้นเสียง
รามาเอลลุกพรวดขึ้นมองสายตาคมรีที่เขาจำได้ขึ้นใจ มือหนากำเข้าหากันแน่น มั่นใจแล้วว่าตามฆาตกรไม่ผิดตัวแน่นอน แต่พอเห็นสายตาคมโตของพิมพ์ดาราหันมามองอย่างสงสัยเขาจึงนั่งลงที่เดิม
“พี่ธนา พิมพ์อยู่นี่ค่ะ”
ธนาธรลงบันไดตรงไปหาน้องสาว แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงสง่าที่นั่งมองมาที่เขา สัญชาตญาณของนักฆ่าบอกให้เขารู้ว่าอันตรายอยู่ไม่ไกลตัวนัก ดวงตาคมสองคู่ปะทะกันนานอย่างไม่มีใครยอมหลบ จนกระทั่งพิมพ์ดาราเดินถือกระเช้าดอกไม้ที่จัดเสร็จแล้วมาส่งให้ชายหนุ่ม
“นี่ค่ะ ช่อดอกไม้ที่คุณสั่ง”
รามาเอลเอื้อมมือไปรับ แต่ไม่ได้รับแค่ช่อดอกไม้ มือหนาฉวยโอกาสจับมือบางแล้วกระชากเข้าหาตัว จนร่างโปร่งระหงเซไปปะทะอกกว้าง ธนาธรขยับตัวตามไปดึงมืออีกข้างน้องสาวออกห่างจากชายแปลกหน้า
“ปล่อยเธอ!” เสียงสั่งคุกคามของธนาธรไม่ได้ทำให้รามาเอลกลัวแม้แต่น้อย พิมพ์ดาราสะบัดแขนออกจากมืออุ่นร้อนของลูกค้าหนุ่มแต่ก็ไม่หลุด ใบหน้าเนียนสวยแหงนขึ้นมองแล้วก้มลงกัดแขนเขา จนแรงบีบที่ข้อมือเธอคลายออก
“ทุกคนย่อมปกป้องคนที่ตัวเองรัก แต่รักษาไว้ให้ดีก็แล้วกัน หนึ่งชีวิตที่เจ็บปวดต้องมีอีกหนึ่งชีวิตที่ชดใช้” เสียงทรงอำนาจทำให้ธนาธรเย็นยะเยือกไปทั้งสันหลัง ไม่ใช่กลัวกับคำขู่ที่ยังไม่เกิดผล แต่คนที่เขาเป็นห่วงคือน้องสาวสุดที่รักต่างหาก
“นี่คุณ มีสิทธิ์อะไรมาขู่เราแบบนี้” เสียงหวานใสแว้ดใส่อย่างไม่พอใจ รามาเอลยิ้มบางๆ อย่างใจเย็น สายตาจับจ้องใบหน้าหวานรูปหัวใจ ธนาธรจึงดึงร่างพิมพ์ดาราไปอยู่ข้างหลัง
“นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นประกาศิตจากเบื้องบน” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินออกจากร้านไปขึ้นรถที่วิ่งเข้ามาจอดหน้าร้าน
พิมพ์ดาราเกาะแขนพี่ชายมองท้ายรถคันใหญ่จนลับตา
“พี่ธนารู้จักคนพวกนั้นด้วยเหรอคะ”
“พี่จะไปรู้จักพวกนั้นได้ยังไงกันล่ะ ไม่ใช่คนไทยด้วย พี่ไม่เคยมีเพื่อนหน้าโหดขนาดนี้หรอก แล้วกับข้าวที่บอกจะทำให้พี่กินเสร็จหรือยัง หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว” ธนาธรเปลี่ยนเรื่องคุย พิมพ์ดาราจึงยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปในครัว
เมื่ออยู่เพียงลำพังสีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ดวงตาคมรีมองไปนอกร้านอย่างสังเกต แต่ก็ไม่พบใครน่าสงสัย เกิดอะไรขึ้นที่อานาเวียร์ แล้วนายพลรามาเอลมาเมืองไทยเพื่ออะไร คำถามมากมายปรากฏอยู่ในหัว และคนที่จะตอบคำถามของเขาได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ธนาธรหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาคนที่อยู่ในทะเลทรายทันที รอไม่นานเสียงทักทายสำเนียงภาษาอังกฤษก็ดังขึ้น
“หวัดดีธนา หวังว่านายคงถึงเมืองไทยอย่างปลอดภัย”
“ผมปลอดภัย แต่วันนี้ไม่ใช่ เกิดอะไรขึ้นที่อานาเวียร์ ทำไมนายพลรามาเอลถึงมาเมืองไทย” ธนาธรถามกลับไปอย่างร้อนใจ คนปลายสายเงียบหายไปนาน ก่อนจะตอบกลับมา
“เป็นไปได้ยังไง” เสียงคนไกลเครียดขึ้นมาทันที
“เป็นไปแล้ว ผมเพิ่งเจอเขาเมื่อสักครู่นี่เอง แถมยังพูดทิ้งท้ายเหมือนรู้อะไรบางอย่าง”
“ไม่ ความลับของเราก็ยังเป็นความลับธนาธร นายสบายใจได้ ยังไงฉันจะสืบเรื่องนี้เอง นายระวังตัวด้วยก็แล้วกัน”
พูดจบคนปลายสายก็ตัดสายทิ้ง ปล่อยให้ร่างสูงเพรียวเดินไปล็อกประตูร้านแล้วแขวนป้ายปิดเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาน้องสาวในครัว
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมิดและเงียบสงบ ชั้นบนสุดของร้านดอกไม้พิมพ์ฟลาวเวอร์ ธนาธรแย้มผ้าม่านมองชายแปลกหน้าสี่คนที่ยืนอยู่ด้านล่าง ใบหน้าคมสันเครียดขึ้นเมื่อรู้ชัดเจนแล้วว่านายพลรามาเอลมาเมืองไทย และวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ระดับองค์รัชทายาทมาซื้อดอกไม้ที่ร้านด้วยตัวเอง ร่างสูงเพรียวเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน ลำแขนสีน้ำตาลแดงยกขึ้นก่ายบนหน้าผากอย่างคิดไม่ตก
“พี่ธนา พี่ธนาหลับหรือยังคะ” เสียงเรียกของน้องสาวทำให้ธนาธรตื่นจากภวังค์แล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องทันที
พิมพ์ดารายิ้มหวานให้ทันทีที่เห็นหน้าเคร่งเครียดของพี่ชายสุดที่รักโผล่ออกมา
“ยังไม่นอนอีกเหรอพิมพ์”
“ยังค่ะ เห็นไฟในห้องพี่เปิดอยู่ก็เลยเข้ามาคุยด้วย”
ธนาธรเปิดประตูออกกว้างเพื่อให้น้องสาวเดินเข้ามา
“พิมพ์เห็นพี่เครียดตั้งแต่บ่ายแล้วก็เลยมาดูว่าไม่สบายหรือเปล่า”
ธนาธรเดินไปนั่งเก้าอี้นวมข้างเตียง สายตามองเลยออกไปในความมืด
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ” พิมพ์ดารามองใบหน้าคมสันเพื่อรอคำตอบ
“พิมพ์...ถ้าพี่ไม่อยู่เมืองไทยสักพัก พิมพ์อยู่คนเดียวได้ไหม”
“พี่ธนาจะไปอีกแล้วเหรอคะ” หญิงสาวหน้ายู่ที่จะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ธนาธรหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปนั่งริมขอบเตียงข้างน้องสาวและโอบไหล่บางไว้ พิมพ์ดาราเอนศีรษะซบไปบนต้นแขนแกร่ง รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเธอกับพี่ชายไม่เคยห่างกัน แต่ทุกครั้งเธอไม่เคยรู้สึกใจหายแบบนี้สักครั้ง
“อ้อนพี่แบบนี้จะขอตามไปด้วยอีกแล้วสิ”
ใบหน้าหวานงอง้ำเมื่อมีคนรู้ทันความคิดของตัวเอง
“เที่ยวนี้จะไปกี่วันอะคะ”
ธนาธรยิ้มเมื่อเห็นอาการแง่งอนของน้องสาว แต่ความจริงที่อัดแน่นอยู่ข้างในทำให้ธนาธรผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่มีกำหนด” เสียงเศร้าของพี่ชายทำให้พิมพ์ดารามองหน้าหมองคล้ำอย่างไม่สบายใจ มือเรียวสวยเอื้อมไปจับมือใหญ่บีบแรงๆ
“ทำไมต้องไปนานขนาดนั้นล่ะคะ”
ธนาธรหลบสายตาช่างสังเกตของน้องสาว เมื่อพี่ชายไม่ตอบพิมพ์ดาราก็ไม่อยากคาดคั้นอะไรอีก เพราะรู้นิสัยพี่ชายดีว่าถ้าไม่อยากพูดจะถามยังไงก็ไม่มีวันพูดออกมา “แล้วจะเดินทางเมื่อไหร่คะ”
“พรุ่งนี้ แต่พิมพ์ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะโทรหรือส่งอีเมลมาหาบ่อยๆ” ธนาธรพูดให้น้องสาวคลายกังวล ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มแล้วยกนิ้วก้อยไปข้างหน้า รออีกนิ้วของพี่ชายยกขึ้นมาเกี่ยวเป็นการยืนยันคำสัญญา
ธนาธรมองนิ้วเล็กแล้วยกนิ้วขึ้นไปเกี่ยวรัดนิ้วสวย
“สัญญา” ธนาธรบอกเสียงมั่นคง ใบหน้าคมสันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“สัญญาแล้วนะ” พิมพ์ดารายิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มข้างแก้ม ธนาธรยกมืออีกข้างบีบสันจมูกเล็กรั้นของน้องสาวอย่างมันเขี้ยว
“บอกได้ไหมคะว่าจะไปประเทศไหน”
“รัฐอานาเวียร์”
พิมพ์ดาราเอียงคอมองหน้าพี่ชาย เพราะเธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“อานาเวียร์เป็นรัฐที่แยกตัวออกจากอิหร่านมาปกครองตัวเองเมื่อหลายปีก่อน พี่กับเพื่อนก็เลยจะเข้าไปเปิดตลาดกันที่นั่น”
“แล้วทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้”
“เขาเพิ่งโทรมาบอกเมื่อสักครู่นี้เองว่าหาทำเลได้แล้ว อยากให้พี่ไปจัดการต่อ”
“งั้นเรามาช่วยกันจัดกระเป๋ากันเลยนะคะ” พิมพ์ดาราบอกอย่างกระตือรือร้น ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ธนาธรลุกขึ้นตามแรงฉุดแล้วหยิบกระเป๋าที่เพิ่งเก็บไว้ข้างตู้เมื่อเช้าออกมา พิมพ์ดาราหยิบเสื้อผ้าที่พี่ชายชอบใส่ออกมาส่งให้ พอเสร็จก็ขยับเข้าไปกอดร่างสูงใหญ่ของพี่ชาย
“อย่าลืมไปบอกลาพ่อกับแม่ด้วยนะคะพี่”
ธนาธรกอดพิมพ์ดาราแนบอก ยกมือลูบผมนุ่มและจูบกลางกระหม่อมอย่างรักใคร่
“ดูแลตัวเองดีๆ นะพิมพ์ พอทุกอย่างเรียบร้อยพี่จะกลับมา แล้วพี่จะไม่จากพิมพ์ไปไหนอีก พี่สัญญา”
พิมพ์ดาราเบียดกายเข้าหาไออุ่นจากอกที่ทำให้เธออบอุ่นมาตลอด ในยามที่สับสนว้าวุ่นในหัวใจ อ้อมกอดของพี่ชายคนนี้ก็ทำให้จางหายไป แต่จากนี้เธอต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง
“พี่ก็เหมือนกันนะคะ ที่นั่นเต็มไปด้วยทะเลทรายคงร้อนน่าดู ตอนกลางคืนพิมพ์รู้มาว่ามันหนาวเหน็บไปถึงใจเลยนะคะ”
“รู้เรื่องทะเลทรายดีขนาดนี้ อนาคตได้เป็นราณีทะเลทรายแน่น้องสาวพี่”
พิมพ์ดาราเอนตัวออกจากอกอุ่น เงยหน้างอง้ำมองพี่ชายอย่างขัดเขิน
“ยี้! ไม่เอาหรอก ชีคทะเลทรายทั้งดุแล้วก็โหดเหี้ยมจะตายไป”
ธนาธรยิ้มและวางมือบนศีรษะนุ่ม มองใบหน้าเนียนใสของน้องสาวยิ้มๆ
“ความอ่อนโยนและความดีจะเอาชนะความดุดันและความโหดเหี้ยมได้ จำคำพี่ไว้นะพิมพ์”
พิมพ์ดารายิ้ม น้ำใสๆ คลอเต็มด้วยตาคู่งามอย่างตื้นตันกับคำสอนของพี่ชาย
“ไปนอนได้แล้วยัยตัวเล็ก พรุ่งนี้นัดลูกค้าแต่เช้าไม่ใช่เหรอ”
พิมพ์ดาราตาโตเมื่อนึกได้ว่าเธอนัดลูกค้ามารับกระเช้าดอกไม้ตอนเช้าตรู่
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่ชายสุดหล่อ” พูดจบเท้าเล็กก็เขย่งขึ้นหอมแก้มสากของพี่ชายฟอดใหญ่แล้วออกจากห้อง เมื่อได้อยู่เพียงลำพังใบหน้าคมสันก็เคร่งขรึม มือหนาเอื้อมไปหยิบล็อกเกตที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียงมาเปิดออกช้าๆ ดวงตาคมรีมองรูปชายหญิงที่ยิ้มและมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน
“พ่อครับ แม่ครับ ผมต้องไปแล้ว ฝากพ่อกับแม่ดูแลน้องด้วยนะครับ ผมขอโทษที่ต้องเลือกเดินทางนี้ เมื่อขึ้นนั่งบนหลังเสือเราก็ต้องควบคุมเสือให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นเสือจะแว้งกัดเรา” ธนาธรบอกอย่างเจ็บลึกในหัวใจ ดวงตาหลับลงช้าๆ พร้อมกับภาพของพ่อนอนจมกองเลือดอยู่ข้างถนนเพราะโดนลูกหลงจากการปฏิวัติในประเทศเมื่อหลายปีก่อน รัฐบาลที่ถือเสียงข้างมากในสภาสั่งเข่นฆ่าประชาชนที่ร่วมปฏิวัติ และวันนั้นพ่อกับแม่ของเขาออกไปทำงานตามปกติ แต่ก็ถูกลูกปืนปริศนาเจาะร่างคนทั้งคู่อย่างไร้ความปรานี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาเข้าร่วมกับฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลและเข้าสู่เส้นทางของมือปืนรับจ้าง พร้อมกับใช้ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์แฮ็กข้อมูลสำคัญของฝ่ายรัฐบาลให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่นั้นมา
***
