บทที่1
แฟ้มเอกสารถูกโยนลงบนโต๊ะ จนเกิดเสียงดัง พร้อมกันนั้นสิ่งที่วางเป็นระเบียบอยู่ก่อนแล้ว ตกกระเด็นออกจากจุดเดิม บางอย่างหล่นกลิ้งหลุนๆ ไปไกล เจ้าของโต๊ะได้แต่แปลกใจ มองสิ่งที่ถูกโยนลงมาตรงหน้าก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ และถามคำถามออกไป
“เป็นอะไร ทะเลาะกับเมียแล้วมาลงที่โต๊ะของฉัน” คำเย้าแหย่ ทำเอาคนหงุดหงิดสะดุ้งก่อนจะปรับสีหน้านิ่ง
“ทำเป็นเล่น” คนไม่ตอบคำถามย้อนกลับเสียงขรม
มือเรียวหนาทั้งสองข้างยกขึ้นสูงระดับอก บ่งบอกว่ายอมจำนน “เออ ว่ามา อะไรทำให้นายเป็นแบบนี้” คำถามจริงจัง จ้องมองคนแสดงอาการหงุดหงิดอย่างรอฟัง
“นายทำแบบนี้เท่ากับฆ่าบริษัทตัวเอง” เพื่อนร่วมก่อตั้งบริษัทว่าเสียงกร้าว คนบนเก้าอี้ผสานนิ้วมือเข้าหากัน สีหน้าเรียบนิ่งแต่ภายในใจครุ่นคิดจ้องตอบ เพื่อค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงบนใบหน้าเพื่อนรักที่เรียนมาด้วยกัน จนเวลาล่วงเลยต่างคนต่างมีครอบครัว แต่ความสัมพันธ์ยังแน่นแฟ้น ไว้ใจซึ่งกันและกัน เมื่อต่างคนต่างไม่มีพี่น้องคลานตามกันมา เพื่อนที่มีจึงเสมือนญาติสนิทก็ว่าได้ กระทั้งตัดสินใจจูงมือกันมาเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ผ่านมาเกือบปีทุกอย่างกำลังไปได้สวย กระทั้งวันนี้...
“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก นายอย่าคิดมากสิ” นาธรเอ่ยเสียงเรียบแต่คนฟังกลับไม่รู้สึกดี
“ไม่ให้คิดมากได้ไง ราคาต้นทุนสูง แต่ประมูลวงเงินต่ำ เห็นยัง ว่าไม่มีใครให้ราคาต่ำขนาดนั้น เพราะเขาดูแล้วว่าหากประมูลรอบนี้ได้ มีเข้าเนื้อกันชัวร์” ดิษกุลว่าหน้าเครียด
เจ้าของโต๊ะทำงาน ยังมีใบหน้าเรียบนิ่งผิดจากนิสัยขี้เล่นยามอยู่ด้วยกัน ต่างจากบุคคลที่ยืนอยู่ ที่ปกติเป็นคนสุขุม แต่วันนี้กลับมีสีหน้าถมึงทึง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นาธรมั่นใจว่าเพื่อนรักต้องมีเรื่องกับภรรยามาก่อนเป็นแน่ เพราะเขาเองได้ยินข่าวซุบซิบเรื่องที่นางทำตัวเป็นสาวโสด ทิ้งลูกวัยสามขวบเศษให้อยู่กับคนใช้ เที่ยวเตร่กลับดึกค่อนคืน จ่ายเงินเป็นเบี้ย ส่วนสามีเป็นคนเงียบนิ่ง ทำแต่งาน รักครอบครัว มุ่งมั่นสร้างฐานะ เมื่อเหนื่อยทั้งงานเหนื่อยทั้งใจ คงสะสมปัญหาไว้จนเต็มที่จนหาที่ระเบิด และนั่นเขาไม่ถือสา หากเพื่อนจะระบายใส่เขา
แต่เรื่องงานเขายอมรับว่าการประมูลครั้งนี้วงเงินต่ำสุดหากเทียบกับการประมูลครั้งอื่นเมื่อหักลบกันแล้ว
“ฉันขอโทษ แต่คงไม่ทำให้เราถึงกับเข้าเนื้อหรอกเชื่อฉันสิ” นาธรเอ่ยเสียงเครียดเมื่อเพื่อนรักสีหน้าไม่คลายลง เพราะครั้งนี้เขาเองก็ผิดที่เปลี่ยนแผนในมติประชุมในราคาประมูลที่ตกลงกันไว้ แต่พอถึงวันยื่นซองประมูล เขากลับเปลี่ยนตัวเลขเพียงลำพังเพื่อให้ได้งานครั้งนี้ เพราะมั่นใจว่าคู่แข่งคนอื่นๆ ก็อยากได้เช่นกัน และมีแววว่าจะแพ้หากยื่นราคาตามที่มติประชุมลงความเห็นกัน
แต่ครั้งนี้ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ กระทั้งทำให้เพื่อนรักไม่คิดฟังเหตุผลจากเขา
จากที่คาดคะเนไว้ว่าไม่ขาดทุนเป็นแน่ ก็เป็นจริงเมื่อโครงการก่อสร้างสำเร็จ แต่กำไรที่หักต้นทุนและค่าใช่จ่ายต่างๆ ที่เหลือหารสองก็ได้น้อยกว่าครั้งไหนๆ แต่ดิษกุลก็ยังมีทีท่าห่างเหินไม่ทักทายเพื่อนรักอย่างเคย เจอกันก็ต่อเมื่อมีการประชุมร่วมกันเท่านั้น
นาธรเริ่มหวั่นวิตก...เพราะอะไร หากเขาอยู่แล้วสร้างความลำบากใจ เห็นทีต้องแยกเพื่อความสบายใจของเพื่อนรัก
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานาธรเก็บความคิดไว้เพียงลำพัง จนภรรยาที่เฝ้ามองอย่างผิดสังเกตจึงตัดสินใจถามขึ้น อีกทั้งข่าวที่ได้ยินมา อาจจะมีเค้าความจริงอยู่บ้าง...
เกือบสี่ทุ่ม หลังจากยืนมองจนรถสามีจอดรถเข้าที่ ที่พักนี้กลับดึกทุกวัน ปรางวลัยเข้าครัวยกน้ำเพื่อเอาใจสามีอย่างเช่นทุกวัน “ที่ทำงานมีปัญหาหรือคะ” เธอถามในสิ่งที่เธอคิดไว้เมื่ออีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมยื่นแก้วน้ำที่เตรียมไว้รอรับก่อนแล้วให้สามี มือหนารับไว้แล้วดื่มน้ำจนเหลือค่อนแก้วแล้ววางลง
“มีปัญหานิดหน่อย” น้ำเสียงเหนื่อยเอ่ยตอบไม่คิดปกปิด พร้อมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ คล้ายคนหมดแรงแม้จะได้น้ำเย็นชื่นใจแล้วก็ตาม
“เล่าให้ฟังได้ไหมคะ” เธออยากช่วยแบ่งเบาสิ่งที่สามีแบกรับเช่นกัน
นาธรพยักหน้ารับ เธอจึงนั่งลงใกล้ๆ และเรื่องทุกอย่างที่ถูกเก็บเงียบไว้ตลอดหลายเดือนก็ถูกระบายออกมาเหมือนเขื่อนทำนบแตก
เมื่อฟังที่สามีเล่ามาและกับสิ่งที่เธอได้ยินมาจากเพื่อนๆที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน มันคนละเรื่องเดียวกัน “แต่แปลกนะคะ ทำไมคุณอโณทัยถึงไปพูดในทางอื่น”
“ทางไหน?” ใบหน้าอิดโรยเพราะเครียดกับเรื่องนี้อยู่แล้วถามหน้าตื่น
“เอ่อ ก็...” เธอไม่มั่นใจว่าหากพูดไปแล้วสามีจะคิดมากอีกหรือไม่
“เล่ามาเถอะ เพราะผมก็พอรู้มาบ้าง แต่คิดว่าเป็นเพียงกระแสสร้างความร้าวฉานกันเท่านั้น”
“ก็ประมาณว่า คุณโกงบริษัท ประมูลราคารับเหมาอีกอัตราแล้วเอาเข้าไปยื่นในบริษัทอีกอัตรา พูดแบบนี้เรียกว่าหมิ่นประมาทได้นะคะ” เธอเล่าด้วยน้ำเสียงตัดพ้อบุคคลที่เอ่ยแบบไม่มีมูล
“เฮ้อ ผมทำพลาดจริงๆ แต่ผมยืนยันว่าผมบริสุทธิ์ใจและสิ่งที่ผมยื่นไปเป็นตัวเลขที่ถูกต้อง”
“ปรางเชื่อคุณค่ะ” มือเรียวยื่นออกไปกุมมือสามีและบีบเบาๆ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน หากแต่สีหน้าภรรยามีแววกังวลให้เห็นเขาจึงเปลี่ยนเรื่อง
“ลูกหลับแล้วหรอ” ครั้นได้ยินน้ำเสียงสดชื่นขึ้นของสามีเมื่อถามถึงลูกทั้งสองคน อนาธิปและธาริณี วัยแปดขวบและขวบเศษ ปรางวลัยจึงยิ้มได้และตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ค่ะ หลับกันหมดแล้ว... คุณก็อาบน้ำแล้วลงมากินข้าวเดี๋ยวปรางจะอุ่นกับข้าวให้ใหม่”
นาธรพยักหน้าแล้วรีบทำอย่างที่ภรรยาบอกโดยไม่เกี่ยงงอน พร้อมกับความคิดบางอย่างที่เขาต้องตัดสินใจ...
