บทที่ 8 : ตัวแทนของอาจารย์
บทที่ 8
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย...”
“ใจเย็นดิบอร์น”
ความปวดตุบ ๆ ที่กลางหัวนี่มันเป็นอะไรที่โคตรน่ารำคาญเลยว่ะ ยิ่งเป็นตอนที่ผมต้องหัดเล่นท่อนโซโล่ที่ถูกแต่งใหม่ให้ยากกว่าต้นฉบับ ผมนี่ปวดหัวตึ้บ แล้วตอนนี้ก็ต้องมาซ้อมเล่นและซ้อมร้องอยู่ในห้องไอ้ฝุ่นโดยมีไอ้แม็กมานั่งเป็นกำลังใจ นี่ก็เที่ยงคืนแล้วมันก็ไม่ยอมกลับหอไปสักที เอาแต่นอนกดเกมในโทรศัพท์ยิก ๆ อยู่บนเตียงฝุ่นอยู่นั่น
“วันเสาร์ทั้งทีกูอยากกลับบ้านฉิบหาย ใครแม่งให้กูมาทำอะไรแบบนี้วะ”
“อาจารย์ปราชญ์ไง” ไอ้ฝุ่นพูดขึ้นก่อนจะยักคิ้วข้างเดียวให้
“มึงอย่าโทษอาจารย์...เพราะมึงนั่นแหละ! เสือกเรียกกูตอนนั้นอะ พวกพี่แม่งมาเล็งที่กูเลยเห็นไหม”
“ไม่ทันแล้วมึง พรุ่งนี้งานเริ่มแล้ว เล่นไม่ได้ก็ข้ามไปเลย...ใครใช้ให้แต่งยากเอง” แต่ก็เห็นด้วยกับฝุ่นแหละ คือต้นฉบับเขาก็ทำมาเพราะอยู่แล้ว พวกนี้แม่งชอบแอดวานซ์ เห็นใจคนซ้อมจนนิ้วเจ็บด้วยดิ
“มึงไหวไหมน่ะ พักก่อนไหม” แม็กเด้งตัวลุกจากเตียงหันมามองนิ้วซ้ายทั้งสี่นิ้วของผมที่เยินจนดูไม่ได้แล้ว
“ถ้าพักแล้วกลับมาเล่นมันจะเจ็บกว่าเดิมว่ะ เอาให้ได้คืนนี้ไปเลย” มันผิดที่ผมเองแหละที่กากเอง ซ้อมตั้งนานแล้วยังไม่ได้เสียที ท่อนอื่นไม่มีปัญหาจะเหลือก็แต่ท่อนโซโล่เท่านั้น ที่เล่นจนนิ้วจะแหกแล้วยังเปลี่ยนคอร์ดไม่ทัน
“มึงได้นอนบ้างปะบอร์น”
“ไม่อะ” ผมตอบไอ้ฝุ่นไปส่ง ๆ ก่อนจะเริ่มเกากีตาร์ใหม่อีกครั้งตั้งแต่เริ่ม
เพิ่งขึ้นปี 1 ได้ไม่เท่าไหร่ เวลานอนของผมก็เริ่มลดน้อยถอยลงไปทุกที เชื่อแล้วว่าที่อาจารย์ปราชญ์พูดเขาไม่ได้โม้เลย งานโคตรเยอะ ไหนจะเรียนตัดโม ดราฟต์โน่นนี่ อาจารย์ปราชญ์เลยตัวดี สั่งงานไม่สนใจเด็กตาดำ ๆ สักนิด แล้วนี่ไม่รวมงานดาวเดือนที่ต้องขึ้นโชว์พรุ่งนี้อีกนะ ถ้าแพ้ไปก็ดีดิ กูจะได้ไม่ต้องไปเหนื่อยอีกหลาย ๆ รอบ
“ไหวปะเนี่ย หน้ามึงดูไม่โอเคเลย”
“ไม่ค่อยได้นอนไง เลยปวดหัวหน่อย ๆ อะ” นอนแค่สามสี่ชั่วโมงมาสองอาทิตย์ติดแล้ว หน้าอาจารย์ปราชญ์ผมก็ไม่ค่อยได้เจอ จะเห็นก็แค่ตอนเรียนกับตอนส่งงานเท่านั้น
ที่เขาบอกว่าไม่ได้นอนหอนี่ถ้าจะเรื่องจริงแล้วมั้ง
“ไปหาไรกินกันก่อนไหม ค่อยมาซ้อมต่อ พักนิ้วพักคอพวกมึงด้วย” ไอ้คนไม่ได้ทำอะไรอย่างแม็กพูดขึ้นก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา
“กินดึกไม่ได้โว้ย เดี๋ยวพรุ่งนี้ใส่ชุดไม่สวย”
“แหม...” ขอเบ้ปากทีนะครับ
สรุป ผมกับแม็กก็ต้องเดินลงมาหามื้อดึกกินกันที่หน้าหอที่ปกติจะมีหมูย่างบ้าง ข้าวต้มบ้างมาขายคนทำงานที่เลิกงานดึก ๆ
แม็กแยกเดินเข้าไปในเซเว่นในขณะที่ผมซื้อน้ำเต้าหู้อยู่ข้างนอก แต่ก่อนที่เพื่อนผมจะหายเข้าไปข้างในผมก็ไม่ลืมกำชับให้มันซื้อยาพารามาเผื่อด้วย
ปวดหัวไม่ไหวแล้ว
แต่ระหว่างที่ผมกำลังจะจ่ายเงินและรอให้เพื่อนเดินออกมา ก็สังเกตเห็นแสงไฟจากหน้ารถมอเตอร์ไซค์คันคุ้นตาส่องสว่างมาแต่ไกลจนกระทั่งเห็นหน้าเจ้าของรถชัดขึ้นเมื่อรถขับเคลื่อนเข้ามาใกล้
“อาจารรรย์” นี่รวมแล้วหลังจากที่ผมไปขอคำแนะนำเรื่องกีตาร์ที่ห้องเขาวันนั้น ผมเจอเขาแค่สองสามครั้งเองนะ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เจอกันบ่อยอย่างกับเป็นเพื่อนเซ็คเดียวกัน
“อ้าว นี่ยังไม่กลับหออีกเหรอ” อาจารย์ปราชญ์ถามพลางจอดมอเตอร์ไซค์ซื้อน้ำเต้าหู้อยู่ข้าง ๆ ผม
“มาซ้อมกับฝุ่นน่ะครับ แล้วนี่อาจารย์เพิ่งกลับเหรอ”
“อืม สองอาทิตย์นี้ครูนอนคณะตลอดเลย ไม่ไหว ขอกลับหอบ้าง กลัวเจอของดี” เอาแล้วไง ถ้าผมเรียนชั้นปีสูง ๆเข้า แล้วต้องไปนอนที่คณะบ้างผมจะอยู่ได้ไหมเนี่ย “แล้วยังซ้อมกันอยู่เหรอ”
“ครับ ยังเล่นท่อนนั้นไม่ได้สักทีอะ มันยังขัด ๆ ไปหมด”
“โห ถ้าไม่ได้ครูว่าอย่าฝืนเลย เจ็บตัวเปล่า ๆ ไหนดูมือดิ๊” คนตัวสูงจับมือผมก่อนจะพลิกนิ้วซ้ายผมขึ้นมาจนเผยถึงรอยแดงและรอยด้านจากการสัมผัสสายเหล็ก บางนิ้วก็เผลอมันมือไปหน่อย มือซนไปลอกหนังที่ด้านออกจนมันกินเข้าเนื้อแล้วมีเลือดซิบออกมา
แต่จุด ๆ นี้ ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรขนาดนั้นแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าอีกคนมาจับมือผมไว้แบบนี้ เลยทำให้ต้องเพ่งสมาธิไปที่ไออุ่นจากมือข้างนั้นที่กำลังใช้นิ้วของเขาสัมผัสเบา ๆ ที่ปลายนิ้วมือซ้ายทั้งสี่ของผม
“โอ๊ะ” เผลอชักมือออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่ออาจารย์ปราชญ์ไปกดโดนจุดที่เจ็บที่สุด
แง ไม่ได้สำออยนะ แค่ไม่ได้เล่นบ่อยเหมือนพวกมืออาชีพเว้ย มันเลยไม่ชิน
“ครูว่าคืนนี้พอแค่นี้เถอะ เอาเท่าที่ได้ก็พอแล้ว งานเราจัดสนุก ๆ นะ ไม่ได้จัดให้แข่งกันเอาเป็นเอาตาย...หรือถ้าอยากเล่นให้ได้จริง ๆ ก็เอาท่อนของต้นฉบับมาใช้แทนก็ได้”
“แต่ผมก็อยากเล่นให้ได้อะ”
“ไม่สงสารนิ้วก็สงสารตัวเองบ้างบอร์น อย่านึกว่าครูดูไม่ออกนะว่าตอนนี้เราไม่ไหวแล้ว”
“ครับ?”
ผมเลิกคิ้วสงสัยที่คนตรงหน้าพูดออกมา ผมไม่รู้ว่าหน้าผมมันฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอว่าตัวเองผ่านช่วงอดหลับอดนอนมามากขนาดไหน แต่พอเห็นสายตาจริงจังจากอาจารย์ปราชญ์ที่ส่งมาให้แล้ว ถึงกับเผลอหลบตาก้มหน้างุด ๆ หาเศษเหรียญไม่ได้จริง ๆ
ฮือ อาจารย์น่ากลัวว่ะ
“สมัยเรียนครูบ้างานหนักกว่าเราอีก ทำไมครูจะไม่รู้ว่าตอนนี้ร่างกายของคนพักผ่อนน้อยมันเป็นยังไง” พูดอะไรไม่ออกจริง ๆ เวลาที่เห็นอาจารย์ทำหน้าจริงจังขนาดนี้ “กลับไปนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้ต้องตื่นมาเตรียมตัวแต่เช้านะ”
“อาจารย์ก็เหมือนกันแหละ” ในขณะที่ร่างสูงกำลังจะคร่อมมอเตอร์ไซค์เตรียมออกรถนั้น ผมก็พูดขัดเอาไว้ก่อน “เลิกนอนคณะแล้วก็กลับมานอนหอบ้างสิ เปลืองค่าเช่าตายเลย”
“อย่างน้อยก็ไม่เปลืองค่าน้ำค่าไฟ”
“เป็นอาจารย์อะก็สอนอย่างเดียวสิครับ งานกิจกรรมนักศึกษาอะไรไม่ต้องทำหรอก เป็นที่ปรึกษาอย่างเดียวก็พอแล้ว”
ผมแอบเห็นอาจารย์ปราชญ์หน้าเหวอไปเล็กน้อยที่เหมือนกำลังโดนเด็กกระโปกสั่งสอน แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่อยากพูดอะไรมากเลยยกมือไหว้เขาส่ง ๆ ไปก่อนจะเดินหายเข้าไปในเซเว่นเพราะเห็นว่าไอ้แม็กมันหายเข้าไปนานเกินไป
ที่ผมพูดออกไปแบบนั้น ใช่ว่าจะงี่เง่าเพราะไม่ได้เจออาจารย์แถวนี้หรอกนะ แต่เพราะถ้าคนอดนอนมันมองกันออกว่าอาการอดนอนมันเป็นยังไง ผมก็รู้สึกได้เหมือนกัน ว่าตอนนี้อาจารย์ปราชญ์ก็กำลังทำงานหนักจนเกินตัวไปเหมือนกันนั่นแหละ
โธ่เอ๊ย ทำมาบอก
วันงาน
ผมกับไอ้ฝุ่นต้องมาเตรียมตัวกันอยู่ด้านหลังเวที เสื้อผ้าหน้าผมก็พร้อมกันหมดแล้ว เหลืออย่างเดียวคืออากาศ! ไอ้ห่าเอ๊ย จัดธีมหน้าหนาววินเทอร์อินพาราไดซ์ ไม่เช็กอากาศในห้องแต่งตัวกูเลย แล้วไอ้เสื้อโค้ตตัวมะเอ้กที่ผมใส่อยู่กับเสื้อคอเต่านี่ก็รีดเหงื่อจากหน้าผมจนพี่ช่างแต่งหน้าเข้ามาซับให้วุ่น
ก่อนเลือกธีมได้คิดมาก่อนไหมว่าจะเจออะไรแบบนี้ มองตัวแทนแต่ละสาขาแล้ว ถือพัดคนละอันนั่งพัดกันมือระวิงเลย
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่ม อาจารย์ปราชญ์ก็เดินเข้ามาในห้องในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์ดูแลในส่วนตรงนี้ “เดี๋ยวเตรียมตัวนะครับ อีกห้านาทีจะเริ่มแล้ว จำคิวได้ใช่ไหม ฟินนาเล่เดินยังไงรู้นะ”
“ครับ/ค่า”
“ไง ไหวไหมสองคน” แล้วเขาก็เดินเข้ามาหาผมกับไอ้ฝุ่นที่โบกพัดสลับกันสนุกสนานเลย
“ถ้าไม่ติดที่ไอ้ชุดนี่ผมจะว่าไหวนะครับ”
ได้ยินแบบนั้นอาจารย์ปราชญ์ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์โคตรชิวก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “ในหอประชุมหนาวมาก ครูไปเซอร์เวย์มาแล้ว เขาน่าจะเร่งแอร์ให้เข้ากับธีมวันนี้นะ”
“เย็นกว่าในนี้ผมโอเคหมดแหละ’จารย์”
“แล้วมือโอเคหรือยัง”
ผมนิ่งไปก่อนจะพลิกมือซ้ายขึ้นมาดู ที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกถ้าผมไม่ฝืนเล่นมากเกินไปแบบไม่รู้ลิมิตตัวเอง นิ้วจะแหกอยู่แล้วก็ยังจะกดสายอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจริง ๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะแผนสองของผมคือเล่นตามต้นฉบับในท่อนโซโล่แทนท่อนที่เล่นไม่ได้
“โอเคครับ กลับไปผมก็ไปนอนเลย”
ผมรู้ว่าประโยคนี้มันทำเอาไอ้ฝุ่นหันมามองหน้าผมช้า ๆ ด้วยสายตาจับผิดกันเต็มที่ นี่ผมต้องปิดปากมันด้วยการดึงเสื้อมันเบา ๆ ก็แหงล่ะถ้าอาจารย์รู้ว่าเมื่อคืนผมกลับไปเล่นและร้องต่อจนไอ้แม็กหลับคาเตียงไปผมต้องเจอหน้าดุ ๆ ของอาจารย์อีกแน่นอน
ไม่เอา น่ากลัว
“ไมมึงตอแหลเก่งจัง” เมื่ออาจารย์หายเข้ากลีมเมฆไปแล้ว ฝุ่นก็เปิดคำถามขึ้นทันที “เมื่อคืนไปเจออาจารย์มาละสิ”
“เออ บังเอิญเว้ย”
“ร้าย...ร้ายนะ มิน่าล่ะขึ้นมาช้าเชียว”
“เกี่ยวปะ ไอ้แม็กมันซื้อของช้าเองต่างหาก” ไม่ได้โกหกนะ ที่ช้าเพราะแม็กมันมัวแต่สั่งโกโก้เย็นของมันและครัวซองอบร้อนที่ต้องใช้เวลาทั้งคู่ไง ผมเลยต้องไปตามมันถึงในร้าน
แต่ไม่นาน ตัวแทนดาวเดือนจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ทุกคนก็ถึงคิวที่ต้องไปเดินโชว์ตัวทีละภาค เริ่มที่ภาคของผมก่อนซึ่งเป็นภาคที่ขึ้นต้นด้วยเลข 1 และเป็นภาควิชาหลักของสถาปัตย์ ซึ่งผมกับฝุ่นก็ออกไปเดินโชว์ตัวด้วยเสื้อผ้าฤดูหนาวแฟชั่นของประเทศญี่ปุ่นที่ใส่ทั้งโค้ตทั้งผ้าพันคอ แต่สีสันจะออกไปทางคุมโทนสีเข้มให้เข้ากับบ้านเขา
เออ มันเย็นกว่าในห้องแต่งตัวจริง ๆ ด้วย
และเมื่อทุกภาควิชาเดินรอบฟินนาเล่กันครบทุกคนแล้ว
“โอ้โห สวยหล่อกันทุกคนเลยนะครับผู้เข้าประกวดดาวเดือนของคณะเรา เห็นแล้วหนาวตามเลยเนี่ย”
“ใช่ครับพี่เอ็ม นี่ถ้าชีวิตหนึ่งของคนไทยได้ใส่ชุดแบบนี้กันทั้งประเทศนี่ก็คงเป็นอะไรที่หาดูยากเหมือนกันนะครับ”
สองเอ็มซีรุ่นพี่ที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตารู้สึกว่าจะอยู่ภาคเดียวกับผมนี่แหละ พูดรับส่งมุกกันไปตามประสาพิธีกรคู่กัน แต่ผมก็ไม่ได้สนใจรุ่นพี่สองคนนี้อยู่แล้ว เพราะตอนนี้ผมก็เอาแต่มองหา ‘เขาคนนั้น’ ว่านั่งอยู่ตรงไหน จนกระทั่งไปเจอกับกลุ่มอาจารย์ที่มีอาจารย์ปราชญ์รวมอยู่ในนั้น
แค่เห็นรอยยิ้มที่เขาส่งมาให้จากด้านล่าง ผมก็มีกำลังใจขึ้นโชว์รอบต่อไปแล้วครับ
งานผ่านไปจนกระทั่งถึงคิวของสถาปัตยกรรมหลักจะต้องขึ้นแสดงด้วยชุดลำลองธรรมดา แต่มีแจ็กเก็ตเป็นพร็อปเสริม ส่วนฝุ่นเองก็เป็นชุดกระโปรงน่ารัก ๆ ให้เข้ากัน
“โอ้โห จบไปแล้วนะครับกับสถาปัตยกรรมไทย ไทยสมชื่อจริง ๆ ผมนี่ขนลุกซู่เลย”
“ตื่นเต้นใช่ไหมครับพี่เอ็ม”
“หนาวฮะ! ใครก็ได้เพิ่มแอร์หน่อยได้ไหมครับ”
ยิ่งได้ยินสองเอ็มซีคุยกันผมยิ่งตื่นเต้น อยากจะให้พี่สองคนนี้โม้ให้นาน ๆ ยันจบงานไปเลยก็ได้ แต่ผมรู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะรุ่นพี่ที่เป็นคนรันคิวส่งสัญญาณให้สองเอ็มซีที่อยู่บนเวทีแล้ว ยิ่งทำให้มือที่กำคอกีตาร์อยู่นี้เริ่มเย็นจนผมกลัวว่าจะเล่นได้ไม่ดีเท่าที่ควร
“และโชว์ที่ทุกคนรอคอย...โชว์จากภาควิชาสถาปัตยกรรมหลักกกก!”
เสียงกรี๊ดและเสียงเชียร์ดังก้องไปทั้งหอประชุม ตอนนี้ผมเริ่มมองไม่เห็นคนดูด้านล่างเพราะสปอร์ตไลต์ที่ส่องจากด้านบน แต่ไม่นานทั้งไฟดวงใหญ่ที่ส่องมาทางเราและไฟทั้งหอประชุมก็ค่อย ๆ หรี่จนดับลงไปในที่สุด
ซึ่งฝุ่นก็หันมามองผมที่กำลังลูบกีตาร์โปร่งที่ตั้งแต่เอามาซ้อมจนกระทั่งขึ้นมาเล่นจริงในวันนี้
กีตาร์โปร่งสีเนื้อยี่ห้อดังของอาจารย์ปราชญ์
แสงไฟค่อย ๆ สว่างขึ้นเป็นแสงสลัวพร้อมกับเสียงอินโทรของกีตาร์โปร่งที่ผมกรีดนิ้วลงไป ทั้งเกาทั้งตีคอร์ด จนกระทั่งเสียงใส ๆ ของไอ้ฝุ่นเริ่มขึ้น
“ฉันมายินดีให้กับรักที่สดใส ยินดีที่เธอได้พบเจอ
คนที่ดี คนที่ควรคู่รักของเธอ คนที่เข้ากันมากกว่าฉัน
ฉันหวังจะยืนอยู่ตรงนั้น ข้าง ๆ เธอ ได้เดินร่วมทางกันเหมือนเดิม
แต่ก็รู้ น่าเสียใจเมื่อมันสายเกิน ไม่มีแล้วที่เคยรักกัน”
นอกจากจะมีเสียงร้องของเพื่อนตัวเองที่ดังอยู่นี้ ยังมีเสียงร้องของคนดูด้านล่างที่ดังคลอมาเป็นระยะ ยิ่งพอขึ้นท่อนฮุกแล้ว เสียงของคนข้างล่างแทบจะกลบเสียงจากเครื่องขยายเสียงที่ติดอยู่รอบหอประชุม และนั่นทำให้ผมหันไปมองหนึ่งในอาจารย์ที่นั่งรวมอยู่กับอาจารย์อาวุโสด้านล่าง
อาจารย์ปราชญ์ไม่ได้หันมามองผม แต่กำลังหันไปคุยกับอาจารย์โอบที่อยู่ข้าง ๆ
จำได้ว่าก่อนหน้านี้อาจารย์โอบยังไม่มาเลยนี่
ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกไม่ดีที่เห็นอาจารย์ปราชญ์อยู่กับคนอื่น นั่นเพราะผมรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าอาจารย์จะเป็นคนผลักดันผมให้ร่วมงานนี้ตั้งแต่แรก อาจารย์ก็ควรจะสนใจสิ่งที่ผมทำอยู่ไม่ใช่เหรอ
“***ขอให้ความรักมีแต่ความสุขใจ ไม่ว่าสิ่งไหนเข้ากันหมดทุกอย่าง
ขอให้ความรักเขาและเธอไม่มีจืดจาง มีเขาเคียงข้างไม่มีความทุกข์ใด
ขอให้ความรักดีกว่าที่ฝัน ไม่มีเปลี่ยนผันรักกันหมดหัวใจ
ขอให้เธอนั้นได้คู่เคียงกันตลอดไป
ถึงแม้ฉันยังไม่เปลี่ยนใจ และรักได้เพียงแต่เธออยู่เหมือนเดิม”
แต่เอาเถอะ อาจารย์ปราชญ์เป็นอาจารย์ ผมเป็นนักศึกษา เขาก็ไม่เห็นต้องมาสนใจนักศึกษาแค่คนเดียวใช่ไหมล่ะ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการที่ผมต้องเล่นท่อนโซโล่ที่ฝึกมาทั้งคืน และเล่นด้วยความมั่นใจว่าต้องเล่นได้ดีกว่าหลายครั้งที่ซ้อมมา
แต่...
อาจจะเป็นเพราะเพ่งสมาธิกับนิ้วมือและสายกีตาร์มากเกินไปหรือยังไงไม่รู้ ตอนที่มือสายกดสายกีตาร์สายแรกมันดันดีดเข้าไปในเล็บจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บที่มากกว่าครั้งอื่น ๆ ถ้ามันเจ็บอย่างเดียวน่ะผมทนได้อยู่แล้ว แต่มันดันไปทำให้เสียงในท่อนโซโล่แปล่งไปจนฝุ่นต้องหันมา
แต่ the show ต้อง go on ว่ะ ฝุ่นมันเลยใช้โอกาสที่หันมามองผมเมื่อกี้เดินเข้ามากอดไหล่ผม เลยทำให้ผมรู้สึกเลยว่าโชว์ที่ดีมันไม่ควรที่จะนั่งเล่นแบบสบาย ๆ กันแบบนี้
มันควรเดินลงมาหาคนดูด้วยสิ ถึงจะเรียกว่าเป็นดนตรีที่แท้จริง
ผมกับฝุ่นลงมาเล่นกันถึงด้านล่างเวที ก็รู้อยู่ว่าตัวเองกับเพื่อนไม่ได้มีสายเลือดความเป็นศิลปินอะไรขนาดนั้นแถมคนรู้จักก็ยังไม่มี ใครเขาจะมาเล่นกับพวกผมที่เป็นแค่เด็กปี 1 ที่เพิ่งเข้ามายังไม่ถึงครึ่งเทอมเลย
แต่ผิดคาด คนดูด้านล่าง รุ่นพี่รุ่นเพื่อน เกือบทุกคนส่งเสียงกรี๊ดและเสียงเฮให้พวกผมสองคน แถมไอ้ฝุ่นนี่อย่างกับมีวิญญาณนักร้องมาเข้าสิง เป็นนักร้องแล้วยังเอ็นเตอร์เทนคนดูได้อีก เพื่อนผมมันคนจริง เพื่อนผมมันเก่งเนอะว่าไหม
***คำยินดี – Klear
???
และโชว์ของสถาปัตย์หลักก็จบลงเป็นที่เรียบร้อย จากที่ตื่นเต้นมือเย็นกลัวโชว์จะออกมาไม่ดี แต่ที่ไหนได้ ได้เล่นกีตาร์บนเวทีที่มีคนดูเยอะ ๆ แบบนี้มันก็สนุกไปอีกแบบ ไม่ได้ตื่นเวทีอะไรขนาดนั้น พออารมณ์มันได้ ความอายก็หายไปเอง
“ฝุ่น โทษทีนะมึง เมื่อกี้ผิดคิวไปนิดหนึ่งว่ะ” หลังจากเดินเข้ามาหลังเวทีที่มีเพื่อนต่างสาขารวมกันอยู่ในนั้น ผมก็เข้ามาคุยกับไอ้ฝุ่นที่ซัดน้ำเปล่าขวดใหญ่จนเสียงกลืนดังลอดออกมา
แล้วดูมันมองผมพร้อมกะพริบตาปริบ ๆ “อ๋อ เมื่อกี้อะนะ ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามึงไม่ผิดคิวนะเราไม่ได้เดินลงข้างล่างแน่ ๆ คิดดูนะเว้ย ตอนกูได้ลงมาร้องเพลงข้างล่างนะ กูจินตนาการว่ากูเป็นพี่แพทเดินลงไปหาคนดูอะมึ้ง ดูสวยสัด ๆ ร้องเพลงท่ามกลางฝูงชนที่กรี๊ดใส่กู”
“เขากรี๊ดไล่”
“อีเหี้ย”
ผมก็ไม่ปฏิเสธนะว่าตอนที่ได้เดินลงไปข้างล่างเวทีผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่แสตมป์ยังไงไม่รู้ แบบว่าสะพายกีตาร์โปร่งลงไปเล่นงี้อะ...เออแม่ง ดูหล่อพอกับมันเลย
แต่ความเจ็บที่นิ้วซ้ายมันชัดเจนขึ้น และพอสังเกตก็ดันเห็นเลือดที่ซิบออกมา ไม่อยากให้คนข้าง ๆ เห็นด้วยแหละว่านิ้วผมเป็นแบบนี้ เลยขอแอบออกมาเข้าห้องน้ำเพื่อมาล้างแผล
ฮือ แสบ
เมื่อน้ำไหลผ่านบาดแผล ความแสบที่นิ้วมือข้างซ้ายพุ่งปรี๊ดจนต้องชักมือออกมาจากก๊อก...โอ๊ย ตอนเล่นก็ไม่ได้มีเลือดออกหรอกแถมไม่เจ็บขนาดนี้ด้วย แต่พอมันโดนน้ำเท่านั้นนะ...โอ้โห แล้วผมก็ใช้นิ้วแหก ๆ นี้ ขยี้สายกีตาร์ไปไม่รู้กี่รอบด้วย
“เจ็บนิ้วเหรอ”
แต่เสียงแตกออกใหญ่ที่คุ้นเคย ดันมาจากทางประตูเลยต้องหันไปมอง
หึ อีทีนั้นอาจารย์ไม่ยอมดูผมอะ คนอุตส่าห์ตั้งใจเล่น ละทีนี้ทำมาเป็นห่วง
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ผมบอกเหรอว่าเขาเป็นห่วง สำคัญจังเลยนะบอร์น สำคัญตัว!
“เฉย ๆ ครับ” โกหกหน้าตาย แล้วอาจารย์แกก็ไม่ได้ยืนอยู่เฉย ๆ ไง ยังเข้ามาทำกับผมเหมือนอย่างเมื่อคืนอีก
“โกหกครูชัด ๆ เลยนะเมื่อเช้าน่ะ หักคะแนนความประพฤติดีไหม” คนตัวสูงยังคงจับนิ้วผมก่อนจะใช้สำลีเช็ดเลือดที่ยังไหลอยู่ออกเบา ๆ ก่อนจะใช้พลาสเตอร์ยาแปะลงบนนิ้วผม “เยินกว่าเมื่อคืนที่ครูเห็นอีก แล้วยังมาบอกว่ากลับหอไปก็นอนเลย”
“อาจารย์รู้ได้ไงว่านิ้วผมเป็นงี้อะ” ส่วนผมก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรสักนิด ในหัวมีแต่จะเคืองที่เขาไม่ยอมตั้งใจดูโชว์กัน
“.........” ทำไมต้องเงียบเล่า
“ไม่เอามุกแค่มองตาก็รู้แล้วนะ”
“เห็นเราทำหน้าเหมือนเจ็บตอนโซโล่ไง เสียงเพี้ยนไปนิดหนึ่งด้วย”
อะไรนะ
“ยิ่งตอนเดินลงมาข้างล่างครูกับอาจารย์โอบก็เห็นแล้วล่ะว่าเราเลือดออก...”
“อาจารย์ดูอยู่ด้วยเหรอ”
“อ้าว”
ผมเงยหน้าไปมองคนตัวสูงที่เลิกคิ้วให้ผมเหมือนจะตำหนิผมในใจว่า ‘อะไรของมึง’ ประมาณนี้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร มือหนึ่งก็เอื้อมมาขยี้หัวที่ช่างเขาอุตส่าห์เซ็ตจนยุ่งไปหมด
“เพ้ออะไร ลูกศิษย์ตัวเองไม่ดูได้ไงล่ะ...ไปพักได้แล้ว เดี๋ยวมีช่วงตอบคำถามอีกไม่ใช่เหรอ”
“ก็ผมเห็นอาจารย์เอาแต่คุยอะ ไม่เห็นตั้งใจดูเลย”
“อะไร ถ้าไม่ดูจะรู้ได้ยังไงว่าเราเจ็บตัว...ไปพักไป ครูก็จะเข้าห้องน้ำเหมือนกัน”
หึ “ขอบคุณอาจารย์นะครับ” ยังไม่ทันได้เดินออกจากห้องน้ำ ผมก็หันหลังไปหาอาจารย์ปราชญ์อีกครั้ง “เดี๋ยวผมคืนกีตาร์นะ”
“เก็บไว้ก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบหรอก”
ถ้าบอกแบบนั้น งั้นผมขอยึดกีตาร์ตัวนี้ไว้เป็นตัวแทนของอาจารย์ไปเลยแล้วกันนะ
TBC
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
