บทที่ 7 : ขออนุญาต
บทที่ 7
“มึง”
“.............”
“บอร์น”
“..........”
“อาจารย์ให้สเก็ตช์ภาพตึก ไม่ใช่สเก็ตช์หน้ากู”
ผมถึงกับเบี่ยงหน้าหันกลับมาที่ภาพสเก็ตช์ของตัวเองเหมือนเดิมเมื่อโดนแม็ก เพื่อนสนิทอีกคนพูดแบบนั้นเข้า
ใช่ไง ที่ไอ้ฝุ่นพูดเมื่อวันนั้นผมเอามาทำจริง ๆ นั่นแหละ ยังสเก็ตช์ตึกได้ไม่ถึงครึ่งผมก็ต้องมานั่งจ้องหน้าไอ้แม็กว่าความรู้สึกที่ได้มองผู้ชายด้วยกันมันเหมือนกับตอนที่ผมมองอาจารย์ปราชญ์หรือเปล่า
แล้วผลสรุปก็คือ...ต่อให้ผมจ้องจนตาแห้งยังไงความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน แถมโดนแม็กมันมองแรงอีก งานก็เสร็จช้ากว่าเพื่อน อีกอย่าง มันจะไปเหมือนกันได้ยังไงวะ ผมมองทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายมาทั้งชีวิต แค่นี้จะไม่รู้ได้ยังไงว่าความรู้สึกที่ได้มองคนแต่ละคนมันไม่มีทางเหมือนกัน
“เป็นไรปะเนี่ย”
ตอนนี้ก็หมดคาบที่ทำให้ผมปั่นงานตาเหลือกเพราะมัวแต่จ้องหน้าเพื่อนตัวเองบวกกับการนึกถึงความรู้สึกที่ผมคิดว่ามันไม่เหมือนกันอยู่นั่น เลยต้องส่งงานให้อาจารย์โอบคนสุดท้ายของเซ็คไปเลยครับ ส่วนแม็กมันก็หันมาถามผมด้วยความเป็นห่วงตามนิสัยผู้ชายนิสัยดี
“เปล่าอะ”
“พิศวาสไรกูปะมึงอะ”
“โห น่าพิศวาสมากมั้ง...กูก็แค่อยากรู้ว่าถ้าจะสเก็ตช์หน้าคนนี่มันต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนแค่นั้นแหละ”
“ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่” เออ ใครคล้อยตามก็แปลกแล้ว สเก็ตช์ภาพตึกสิบชั้นพร้อมธรรมชาติรอบด้าน มันมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องมาจ้องหน้ามันด้วยวะ “เอาเถอะ กูจะคิดว่ามึงหลงเสน่ห์ในตัวกูหรือไม่ก็อยากจะมีเบ้าหน้าเหมือนกูอะไรแบบนั้นก็แล้วกันนะ”
“โห ติดเชื้อไอ้ฝุ่นมาปะเนี่ย อย่างน้อยกูก็ไม่อยากใส่แว่นเหมือนมึงอะ”
“แว่นแล้วมันยังไง เดี๋ยวกูใส่คอนแท็กมาก็ได้” ยังไม่ยอมแพ้ว่ะ
“บอร์น ปะมึง พี่นัดสี่ครึ่งไม่ใช่เหรอ” ไอ้ฝุ่นกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาผมพลางก้มดูนาฬิกาที่มือถือตัวเอง
“เออว่ะ...แม็กมึงไปกับพวกกูปะ”
“มึงไปซ้อมกับพวกรุ่นพี่ใช่ปะ...ไปเหอะ ได้ยินคำว่ารุ่นพี่กลุ่มนี้แล้วกูแขยงขน”
ผมเข้าใจ เพราะกลุ่มเด็กกิจกรรมที่มักจะไม่ให้การเรียนมาทำให้กิจกรรมของเขาพังอย่างรุ่นพี่พวกนี้ เขาไม่ค่อยจะแคร์โลกกันเท่าไหร่ งานเยอะเหรอ สนไหมลองถามดู อะไรที่ไม่ได้เรียกว่าการบ้านหรือการเรียนพวกพี่แกทุ่มสุดตัวอยู่แล้ว แล้วอย่างแม็กมันไม่ค่อยอยากจะทำกิจกรรมเพราะมันให้เหตุผลว่าในห้องมีแต่คนเก่ง ๆ เลยต้องพยายามมากหน่อย
“เออ กลับหอดี ๆ นะมึง”
ผมกับไอ้ฝุ่นก็เดินมาด้วยกัน ระหว่างทางเราก็คุยเรื่องโชว์ที่ต้องขึ้นโชว์ในวันประกวดดาวเดือนของคณะ ผมที่ปกติเล่นกีตาร์ได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลยเสนอพวกรุ่นพี่ไป แต่อย่างว่า พอเจอพี่ที่ชอบเล่นใหญ่มันก็จะมีปัญหาหน่อยก็ตรงที่ว่าถ้าเราคัฟเวอร์ต้นฉบับเขามาเป๊ะ ๆ เราจะไปได้คะแนนพิศวาสจากคนดูและกรรมการได้ยังไง
กรรมมันก็เลยมาตกที่ผมสองคนต้องมาคิดทั้งท่อนโซโล่ ทั้งอินโทรอะไรใหม่แล้วไอ้ฝุ่นก็ต้องเหนื่อยตรงท่อนร้องที่ต้องแต่งใหม่ด้วย
“อ้ะนี่...” เมื่อถึงห้องเรียนที่นัดกันไว้ อดีตเดือนสาขายื่นกระดาษสามสี่ใบให้ผม “พี่ชายพี่ที่เขาเป็นครูสอนดนตรีเขาคิดท่อนอินโทรกับโซโล่ให้ใหม่ ลองเอาไปซ้อมดู ถ้าไม่ชอบตรงไหนมาลองคุยกับพี่แล้วแก้ใหม่ได้เลยนะ”
อื้อหือ...แค่มองแท็บกีตาร์เวอร์ชั่นใหม่ที่ผมต้องเล่นในวันจริงนี่ลมแทบจับ ลำพังของเก่าก็ยากพออยู่แล้ว อันนี้มาแอดวานซ์หนักกว่าเดิมอีก ผมบอกแล้วไงว่าเล่นเป็นไม่ใช่เล่นเก่ง อย่าสับสนภาษาไทยสองคำนี้ครับ
“ส่วนของน้องฝุ่น ก็ร้องตามปกติสไตล์น้องเลยค่ะ อย่าคร่อมจังหวะนะ”
ได้ยินแบบนั้นผมนี่กลอกตาไปหาไอ้ฝุ่นเกือบไม่ทัน ผมว่าพี่เขาต้องไม่เคยได้ยินเพื่อนผมร้องเพลงแน่ ๆ ถึงได้พูดแบบนี้ออกมา ทีแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าเสียงไอ้ฝุ่นมันเป็นยังไงอาจารย์ปราชญ์ถึงได้พีอาร์เหลือเกิน พอมันร้องให้ฟังเท่านั้นแหละ เออ อยากดันมันให้ไปประกวดตามรายการไม่ก็อัดคลิปตัวเองทำเพลงสนุก ๆ ไปเลย
“อันนี้ก็เสร็จแล้วใช่ไหมคะ” ฝุ่นถามพี่ ๆ ที่กำลังนั่งคุยกันเองหลังจากที่พวกผมสองคนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
“ค่ะ มีอะไรสงสัยไหม”
“เอ่อ...ตรงนี้ผ...”
“ไม่มีค่ะ”
ผมหันไปมองหน้าไอ้ฝุ่นที่กำลังยิ้มร่าเตรียมยกมือไหว้พี่ ๆ ก่อนจะกระตุกแขนผมให้ไหว้ตามมันแล้วเดินลงมาจากตึกพร้อมกัน เดี๋ยวดิเฮ้ย กูมีคำถามเนี่ย ไม่เห็นเหรอว่าหน้ากูเด๋อด๋าขนาดไหน
“อะไรของมึงเนี่ย กูจะถามเขาสักหน่อยว่าตอนเริ่มโซโล่มันต้องยังไง” พอลงมาจากตึกได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็หันไปแวดใส่คนตัวเล็กข้าง ๆ ที่ตอนนี้หน้ามันโคตรแตกต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ
“มึงกลับไปซ้อมเองดีกว่าเชื่อกู จะเป็นยังไงก็ช่างแม่ง กูไม่อยากเห็นหน้าอีพี่พวกนี้แล้วเนี่ย...รีบ ๆ ทำงานนี้จะได้จบไว ๆ”
“ไม่ชอบหน้ารุ่นพี่เขาละสิ”
“หือ ชอบสิแปลก...เมื่อกี้มึงเห็นหน้าดาวปีที่แล้วปะ มองหน้ากูเหมือนเป็นส่วนเกินของคณะอะ อีเหี้ยกูก็ไม่ได้จะเต็มใจทำปะ ถ้าอาจารย์ปราชญ์ไม่ขอกูก็ไม่ทำหรอก ให้แม่งไปวิ่งเต้นหาคนเอาเองดิ”
“มึงใจเย็น ๆ เดี๋ยวจบงานนี้มึงก็สบายแล้ว”
“เหรอ...ไม่แปลกใจเลยที่คะนิ้งจะถอนตัว”
“ไป ๆ เดี๋ยวเย็นนี้เราไปหาอะไรกินกันนะคะคุณดาวภาค ไปสงบสติอารมณ์ก่อนเดี๋ยวร้องเพลงไม่ได้จะแย่” บ่นเป็นคนแก่เลยแม่คุณ มีผัว ผัวไม่หูชาเลยเหรอครับ
ขี้เกียจฟังไอ้ฝุ่นมันบ่นเหมือนกันเลยต้องลากมันมาหาอะไรกินที่หน้าหอพักที่มีทั้งหอนักศึกษา หอคนทำงาน เดิน ๆ อยู่ก็เจออาจารย์ที่คุ้นหน้าเต็มไปหมด รู้สึกเกร็งพอตัวเลยเวลากลับหอเนี่ย
“ไปละมึง พรุ่งนี้เจอกัน” ผมกับไอ้ฝุ่นอยู่หอคนละซอยกัน ผมเลยแยกเดินเข้าหอซอยก่อนหน้ามันไปก่อน แล้วพอนึกถึงเนื้อเพลงที่ต้องร้องสำหรับงานเอาหน้าอย่างประกวดดาวเดือนแล้ว ไอ้ฝุ่นนี่ปากคว่ำตามองบนก่อนโบกมือลาผมเลยทีเดียว
เอาจริงผมก็ไม่ค่อยชอบหรอก พวกรุ่นพี่ที่คิดว่าตัวเองดีนักหนาเนี่ย พวกใช้อารมณ์ก็อีกอย่าง เรียนอย่างเดียวไม่รู้จะรอดไหมยังต้องมาโดนบังคับทำกิจกรรมอีก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าถ้ามีเวลาผมก็จะทำบ้างนะพวกกิจกรรมน่ะแต่พอได้ยินคำสอนปนขอร้องของอาจารย์แล้ว...
ทำไมต้องตอบตกลงทั้ง ๆ ที่ใจมันก็ไม่ได้อยากทำด้วยวะ
“อ้าวบอร์น...”
เชี่ย พอนึกถึงหน้าเขาก็ดันได้เจอกันเฉย แล้วตอนนี้อาจารย์ปราชญ์ก็จอดมอเตอร์ไซค์คุยกับผมพอดีเลยนะ
“สวัสดีครับ...” รู้สึกเหมือนใครมาตีกลองอยู่กลางอก มือไม้สั่นทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเฉยเลย
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้แท้ ๆ แต่พอชัดเจนกับตัวเองแล้วคนใกล้ตัวดันมารู้เรื่องด้วยนี่ ความรู้สึกมันยิ่งชัดเจนขึ้นไปใหญ่เลยแฮะ
“เพิ่งกลับเหรอ”
“ครับ”
“กินข้าวยัง”
“กินแล้วครับ อาจารย์ล่ะครับ”
“ยังเลย ครูว่าจะไปกินหน้าหออะ...แต่บอร์นจะเดินกลับหอแล้วใช่ไหมล่ะ รีบกลับเถอะ ได้ยินว่าอาจารย์โอบสั่งการบ้านด้วยนี่” อ่าใช่ ลืมไปเลยว่าผมต้องกลับไปทำพรีเซนต์งานกลุ่มวิชาลายเส้นของอาจารย์โอบ
“ดองไว้ก่อนได้ไหมครับ”
“หืม? ดองจนทำไม่ทันขึ้นมาเดี๋ยวรู้สึก”
“ฮ่า ๆ จริง ๆ ผมก็อยากทำงานที่อาจารย์โอบเขาสั่งแหละครับ แต่ผมมีเรื่องจะปรึกษาอาจารย์นิดหน่อยอะ”
“อะไรเหรอ”
ใครมันลากกูมาอยู่ในวงเวียนกิจกรรมได้วะเนี่ย ความคิดผมเปลี่ยนขึ้นมาทันทีเลยว่า ‘งานกลุ่มไม่เสร็จไม่ว่า งานเอาหน้าต้องมาก่อนเสมอ’
???
แล้วตอนนี้ผมก็มาอยู่ในห้องของอาจารย์ปราชญ์แล้ว...ห้องที่ว่าก็คือหอเขานั่นแหละ
นี่ขนาดผมบอกไปตั้งแต่ตอนที่อาจารย์ซื้อข้าวแล้วนะว่าเดี๋ยวผมไปกินเป็นเพื่อนอีกรอบบ้างล่ะ รอได้บ้างล่ะ แล้วไงอะ แกยอมที่ไหน พอสั่งข้าวหน้าหอเสร็จก็ให้ป้าเขาห่อใส่กล่องแล้วลากผมตามขึ้นมาบนหอแกเลย
“ห้องอาจารย์กว้างจัง”
มันแบ่งซอยกันว่าตรงไหนเป็นของนักศึกษาหรือหอของคนทำงานหรือเปล่าอันนี้ผมไม่รู้ รู้สึกว่าห้องอาจารย์ใหญ่และเป็นสัดส่วนมากกว่าห้องนักศึกษาอย่างผม มีเฟอร์นิเจอร์ครบครันอยู่กันประมาณสามสี่คนได้สบาย ๆ ซึ่งก็ต่างจากหอผม คนเดียวก็นับว่าอึดอัดเกินไปแล้ว
“ครูยังไม่ได้กวาดห้องเลยอะ แป๊บหนึ่งนะ...”
“ไม่เป็นไรครับอาจารย์ แค่ผมขึ้นมาก็รบกวนแล้ว” นี่ถ้าไม่เรียกรั้งไว้ ไม้กวาดก็จะตามมา ขนาดห้องไม่ได้สกปรกอะไรเลยนะ ดูสะอาดเกินไปด้วยซ้ำ
“ไหน ไม่เข้าใจอะไรตรงไหน”
“อาจารย์กินข้าวก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมนั่งดูแป๊บหนึ่งเผื่อมันจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง”
“อ้าว”
ผมไม่คิดว่าเขาจะไฟแรงขนาดนี้นะ อายุอานามก็ไม่ได้น้อยเหมือนคนเพิ่งจบอะไร แต่เพิ่งจะเคยเห็นวันนี้นี่แหละว่าอาจารย์ปราชญ์ดูยุ่ง ๆ เหมือนมีงานเยอะอยู่ตลอด ขนาดผมเป็นแค่นักศึกษาเขายังต้อนรับผมดีขนาดนี้ ลงทุนซื้อข้าวเข้ามากินแทนที่จะได้ไปกินสบาย ๆ ที่ร้านเลย เปิดแอร์ กางโต๊ะญี่ปุ่น หยิบเบาะรองนั่งให้เสร็จสรรพ
“นี่ผมรบกวนอาจารย์ไหมครับเนี่ย”
“เฮ้ยไม่หรอก เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาถ้าไม่ให้คำปรึกษาแล้วจะให้ทำอะไร”
นั่นสินะ...
“ผมไม่เข้าใจท่อนโซโล่นิดหน่อยอะ เห็นแล้วรู้สึกว่ามันจะเล่นได้ยังไงถ้าไปเกาสายนี้ เสียงมันไม่ทุ้มไปหน่อยเหรอครับ”
ในเมื่อเขาบอกเองว่าไม่ให้เกรงใจ ผมก็จัดการยื่นใบแท็บกีตาร์ให้อาจารย์ในขณะที่เขาก็แกะกล่องข้าวจนข้าวผัด ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว
ผมมองคนข้างหน้าที่ตักข้าวผัดใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ พลางหยิบแผ่นกระดาษมาพิจารณา คนเล่นดนตรีอย่างอาจารย์ปราชญ์เองก็น่าจะรู้สึกเหมือนกัน แต่อีกใจก็ไม่อยากจะไปท้วงรุ่นพี่หรอก คนรีมิกซ์ใหม่นี่เป็นถึงครูสอนดนตรีเลยไม่ใช่เหรอ
แล้วอาจารย์ปราชญ์ก็วางแผ่นเพลงผมลงบนโต๊ะก่อนจะลุกออกไปหยิบกีตาร์ที่วางอยู่
“อาจ๊ารรรรย์ กินก่อนครับ ของผมเดี๋ยวค่อยว่ากันก็ได้” เห็นแล้วรีบลุกไปจนเกือบจะแย่งกีตาร์เขามาจากมือ แต่เห็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่ส่งกลับมาแทนคำตอบแล้ว ไม่กล้าไปขัดใจเขาเลยแฮะ
“ครูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันแปลกอย่างที่เราว่าหรือเปล่า”
สรุป กล่องข้าวผัดและแก้วน้ำอัดลมก็ถูกทิ้งให้เป็นม่ายอยู่บนโต๊ะ เมื่ออาจารย์ปราชญ์ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงโดยอุ้มเจ้ากีตาร์โปร่งสีเนื้ออ่อนขึ้นมาด้วย ส่วนผมจะทำอะไรได้ ก็ต้องนั่งลงที่เดิมตรงเบาะรองนั่งที่พื้นต่อไป
“ขึ้นมานั่งนี่สิ จะได้ดูได้ว่ามันแปลกไหม” ไม่พูดเปล่า แกยังตบที่นอนให้ผมขึ้นไปนั่งอีก
ไม่นาน อาจารย์ปราชญ์ก็เริ่มเกากีตาร์ตามแท็บที่เขียนไว้บนกระดาษ ทีละตัว ทีละตัว จนมันเป็นทำนองที่เขาก็พยักหน้าพอจะรู้แล้วว่าอินโทรแบบนี้เป็นเพลงอะไร แล้วก็เริ่มเล่นมันอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาจนชินมือ
บางทีผมก็คิดนะว่าอาจารย์ไปประกวดอีกรอบก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเคยผ่านเวทีมาแล้ว
“อืม เขาก็แต่งมาเพราะดีนะ...แต่เมื่อกี้บอร์นบอกว่าไม่ได้ตรงโซโล่ใช่ไหม”
พยักหน้าตอบเพียงนิดเดียวคนตัวสูงข้างหน้าผมก็หันกลับไปจดจ่ออยู่กับกีตาร์ตัวเก่งต่อ มือซ้ายขยับไปตามคอกีตาร์เพื่อเปลี่ยนคอร์ดไปเรื่อย ๆ ส่วนมือขวาก็เกาไปตามสายทั้งหก เล่นท่อนแรก ท่อนสอง วนไปมาอยู่ประมาณสองสามรอบ นิ้วทั้งห้าที่มือขวาก็เริ่มพลิ้ว
เหตุผลที่ผมหัดเล่นกีตาร์ เป็นเพียงเพราะผมต้องการจะอัพเสน่ห์ให้เพศตรงข้ามรวมทั้งเพศเดียวกันหันมามอง ผมเชื่อการที่ผู้ชายเล่นดนตรีได้หรือมีงานอดิเรกเท่ ๆ สักอย่างสองอย่างมันดูดีมากทีเดียว แต่การที่ผมเป็นคนเล่นเองเลยไม่รู้หรอกว่าตัวเองดูดีหรือเปล่า จนกระทั่งได้มาเห็นคนตรงหน้ากำลังเล่นมันอยู่
“อืม...ครูว่ามันไม่ได้แปลกหรอกถ้าเราจะใช้คอร์ดนี้ แค่บอร์นจะเปลี่ยนมันทันไหมนี่แหละ รู้สึกว่ายากเหมือนกันนะ”
นอกจากจะใจดี เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่ดีแล้ว ยังเป็นคนที่โปรยเสน่ห์เรี่ยราดอีกนะ
“ลองเล่นไหม ถ้าไม่ได้ยังไงค่อยมาเปลี่ยนกันทีหลัง”
จริง ๆ มันก็ไม่ได้แปลกหรอกที่นักศึกษาจะชอบอาจารย์สักคนในภาค ถ้าเราไม่ได้คิดและหวังไปไกลถึงขั้นนั้น
“บอร์น...”
แต่ถ้าตอนนี้ผมกำลังจริงจังกับความรู้สึกของตัวเองอยู่ล่ะ ถ้าความรู้สึกของผมมันก้าวข้ามคำว่าชอบไปแล้วล่ะ
“บอร์น...”
มันจะผิดอะไรไหมนะ
“บอร์น!!”
“ครับ”
ผมกะพริบตาอยู่พักหนึ่งเมื่อรู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่วางอยู่ตรงหน้าขา เจ้าของฝ่ามือกำลังจ้องหน้าผมคิ้วขมวดจนเป็นรอยย่นที่บริเวณหัวคิ้ว
“หลับในเหรอเรา...เรียนเหนื่อยหรือไง”
“อ๋อ ก็ไม่หรอกครับ” แต่เมื่อกี้อาจารย์แกพูดอะไรไปบ้างนะ “ขอบคุณนะครับอาจารย์ เดี๋ยวผมลองเอาไปฝึกดูก่อนก็ได้”
รีบกลับเถอะ เวลานี้ไม่ควรอยู่นานว่ะ
“ที่ห้องมีกีตาร์ใช่ไหม”
“ไม่มีครับ เดี๋ยวเสาร์นี้ผมกลับบ้านไปเอาก่อน”
“งั้นเอาของครูไปใช้ก่อน กว่าจะถึงวันเสาร์เดี๋ยวไม่ได้ซ้อมกันพอดี” คนตัวสูงยื่นกีตาร์โปร่งสีเนื้อด้านให้ผมทั้งสองมือ
“ไม่เป็นไรครับอาจารย์ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็คงได้...”
“เอาไปเถอะ” รู้สึกเหมือนวูบโหวงไปชั่วขณะเมื่ออาจารย์จับมือผมข้างหนึ่งให้มาจับคอกีตาร์และรับมันไว้ “วางเฉย ๆ ไว้ในห้องครูก็ไม่ได้ใช้ ว่าง ๆ ก็แค่เอาออกมาจูนสาย ใช้บ้างก็ดีเหมือนกัน”
“ขอบคุณนะครับ เอ่อ...เดี๋ยวผมกลับก่อนนะ”
ว่าแล้วคนตัวสูงก็เดินลงมาส่งผมด้านล่าง ทีแรกเขาจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งถึงหอด้วยซ้ำ แต่พอเถอะครับ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว แต่ถ้าจะให้พูดกันตรง ๆ มันคงไม่ใช่คำว่าเกรงใจอย่างเดียวน่ะสิ
“กลับดี ๆ นะ จะไปส่งก็ไม่ให้ไปอีก”
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ” ผมมองคนข้างหน้าที่ยังคงส่งยิ้มบางมาให้ “อาจารย์...”
“หืม?”
“ผมขออนุญาตมาซ้อมห้องอาจารย์ได้ไหมครับ”
มันอาจจะดูแปลกไป แต่ผมก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ
“ก็อยากให้มาอยู่หรอก แต่ช่วงนี้ครูไม่ค่อยได้กลับหอน่ะ เผลอ ๆ ครูอาจจะช่วยเราซ้อมได้ไม่เท่าไหร่ด้วย โทษทีนะ”
“ฮะ ๆ ผมพูดเล่น ใครมันจะไปอยากรบกวนอาจารย์ตลอดอะ...ไปก่อนนะครับ หวัดดีครับ”
“ครับผม พรุ่งนี้เจอกัน...อย่าลืมทำการบ้านอาจารย์โอบนะ”
“คร้าบ”
สุดท้ายก็ต้องเดินออกมาจากซอยหอพักคนทำงานของอาจารย์แล้ว สองเท้าของผมก้าวเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหอตัวเองแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมความรู้สึกแบบนี้มันยังไม่หายไปสักที
ความรู้สึกที่เหมือนกำลังผิดหวังในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนี้
TBC
