บทที่ 6 : ชอบนิสัยเขา ไม่ได้ชอบเขา!
บทที่ 6
สตูดิโอถ่ายภาพ
สตูดิโอที่ทาง ‘ถาปัตย์เป็นคนจัดหามาให้ตอนนี้ ก็เต็มไปด้วยเด็กปี 1 ที่เป็นตัวแทนจากภาควิชาต่าง ๆ ของคณะสถาปัตย์ นั่งแต่งสวยแต่งหล่อกันคนละมุม ทั้งสถาปัตยกรรมไทย อินทีเรียร์ ออกแบบผลิตภณฑ์ บลา ๆ ๆ ทุกภาคมากันทั้งดาวและเดือน ยกเว้นก็แต่สถาปัตย์หลักนี่แหละที่มีผมนั่งหัวโด่อยู่คนเดียว เป็นถึงเดือนแจ่มอยู่บนฟ้าแต่ไร้ซึ่งดาวเสน่หาเคียงข้างกาย
คะนิ้งไม่มาจริงดิ แล้วรุ่นพี่เขาได้คนมาแทนหรือยังนะ
“อ้าวมึง แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ” ในขณะที่ผมกำลังก้มหน้าเล่นเกมในมือถือ จู่ ๆ ผมก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น และพอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหละ
“มึงมาทำไรอะ” ไอ้ฝุ่นไง เดินเอาเป้ย้วย ๆ ของมันวางไว้บนตักผมก่อนจะสางผมยุ่ง ๆ ของมันและรวบขึ้นเป็นก้อนขี้หมาอยู่บนหัว
“เอ๊า พี่เขาไม่ได้บอกมึงเหรอ ว่ากูลงสมัครดาวแทนคะนิ้ง”
“ฮะ!”
“อย่าเสียงดังสิเขิน เออ...แต่งตัวตรงไหนวะ นี่อุตส่าห์แหกขี้ตาตื่นนั่งพี่วินมาถึงนี่เลยนะ”
เดี๋ยว ๆ คือผมกำลังจะจับชายเสื้อมันเพื่อจะเรียกมาถามว่ามึงตลกอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ไม่ทันละ พี่ช่างแต่งหน้ากับพี่ปริมก็เดินเข้ามาลากมันเข้าห้องเล็กเพื่อเอามันไปแปลงโฉมเหมือนกับที่ผมโดนเมื่อกี้
พี่เขาติดต่อฝุ่นไปจริงดิ หรือผมฝันอยู่วะ แค่คำว่ากุลสตรีมันก็ไม่ได้แล้ว จะมีก็แต่สุภาพบุรุษเท่านั้นอะ เผลอ ๆ ไปลงประกวดเดือนก็ไม่มีใครค้านด้วย
และไม่นาน ฝุ่นมันก็เดินออกมาพร้อมชุดแฟชั่นหน้าหนาวสไตล์ญี่ปุ่น มันมีแค่สเวตเตอร์สีดำ กางเกงเลกกิ้ง และผ้าพันคอสีขาว พร้อมผมทรงขี้หมาของมัน จะดีหน่อยก็หน้าที่แต่งออกมาดูน่ารักเป็นธรรมชาติ แก้มสีชมพูเหมือนถูกหิมะกัด
ครับ ธีมในการถ่ายรูปโปรโมทคือแฟชั่นหน้าหนาวทั่วโลก ใครได้ประเทศไทยไปนี่สบายหน่อย เสื้อแจ็กเก็ตง่าย ๆ ตัวเดียวจบ
“สถาปัตย์หลักด้านนี้เลยครับ” พี่ช่างภาพและทีมงานส่งสัญญาณให้ผมกับฝุ่นเดินเข้าไปในฉากที่ทำขึ้นมาเหมือนว่าอยู่ในหมู่บ้านของญี่ปุ่นที่พื้นหลังเป็นสีขาวด้วยหิมะดูสะอาดตา และด้านบนมีตัวปล่อยพวกสำลีที่ทำเป็นหิมะปลอม
“พี่เขาเรียกมึงจริงดิ?” จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้ฝุ่นมันจะไม่ปฏิเสธงานแบบนี้ ถึงผมจะไม่ปฏิเสธก็เถอะว่าพอมันแต่งหน้าออกมาแล้วมันดูน่ารักจริง ๆ ผิดปกติที่ควรจะเป็น แต่แหม มันก็ไม่น่าเชื่อจริง ๆ อะ
“กูมาเองมั้งแหม”
“เดี๋ยวพี่จะปล่อยหิมะปลอมนะครับ น้อง ๆ ก็โพสต์ท่าอะไรก็ได้ที่ดูน่ารัก ๆ เหมือนคู่รักออกมาเล่นหิมะนอกบ้านอะไรแบบนี้เลยครับ มองกล้องก็ได้ ไม่ต้องมองก็ได้ ขอแบบธรรมชาติ ๆ นะครับ”
ในเมื่อพี่ช่างภาพขอร้องมาแบบนั้น ผมก็ต้องตามน้ำไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลยโพสต์ท่าไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าจูงมือหันหน้าเข้าหากัน เอาตัวฝุ่นมาอยู่ในเสื้อโค้ตของผมให้จินตนาการไปว่ากลัวแฟนหนาวอะไรประมาณนี้ ไหนจะให้ฝุ่นขี่หลัง เยอะแยะไปหมด
จนกระทั่ง...
“เรียบร้อยครับ เปลี่ยนเสื้อผ้าได้เลย”
“แล้วคิดยังไงมึงถึงลงตามคำชวนของพี่เขาเนี่ย” เข้าใจไหมครับว่ามันยังคาใจอยู่ นี่ก่อนเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าผมเลยวิ่งมาดักหน้าไอ้ฝุ่นก่อนที่มันจะเดินหายเข้าไปในห้องเล็ก
“มึงสงสัยอะไรเนี่ย ก็พี่เขาเอาเบอร์กูมาจากไหนไม่รู้แล้วก็โทรมาหากู กูก็...เออ ๆ ทำไรก็ทำวะ เพราะเห็นช่วงนี้งานมันยังไม่เยอะกูเลยตอบตกลงไป...ไงล่ะ กูสวยไม่แพ้คะนิ้งเลยใช่ไหมล่ะ”
“ใช่...”
คำตอบนี้ผมไม่ได้เป็นคนตอบครับ ใครแม่งจะบ้าชมผู้หญิงแบบนี้ว่าสวย จะเว้นก็แต่...
“อาจารย์”
ยกมือขึ้นไหว้อาจารย์ที่เดินเข้ามาเกือบไม่ทัน คนดีศรีสถาปัตย์เดินเข้ามาในชุดลำลองง่าย ๆ อย่างเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ดูแปลกตาไม่เหมือนกับเชิ้ตสีอ่อนและกางเกงสแล็คอย่างที่เคยกัน ก่อนที่แกจะยกมือรับไหว้ผมกับไอ้ฝุ่น
“ครูได้ยินข่าวที่ว่าคะนิ้งถอนตัวกะทันหัน แล้วพี่พวกเราก็มางอแงหาคนไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ ครูก็เลยนึกขึ้นได้ว่ามีอยู่คนหนึ่งที่พอจะเป็นตัวแทนคะนิ้ง เผลอ ๆ อาจจะเหมาะสมกว่าคะนิ้งด้วย”
“อาจารย์ก็เลยเลือกมันเหรอครับ”
“กูไม่ดียังไง ไหนตอบซิ”
“บอร์น...ครูไม่ได้เลือกมาส่งเดชนะ รู้หรือเปล่าว่ารอบสัมภาษณ์เพื่อนเราโชว์อะไรบ้างน่ะ”
ฮะ รอบสัมภาษณ์มีโชว์อะไรวะ จำได้ว่าตอนที่ผมสัมภาษณ์เข้าที่นี่ผมแค่เอาภาพสเก็ตช์กาก ๆ ไม่มีความงามอะไรเลย พร้อมคำแถไถไปว่ามันคือศิลปะ จนอาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมเขาก็พูดประมาณว่าถ้ามันศิลปะจริงทำไมไม่ไปเรียนศิลปกรรม...
เกือบไม่ได้เรียนแล้วกู
“เดี๋ยวพอไปคิดโชว์แล้วมึงก็รู้เองแหละ ว่ากูไม่ได้หน้าตาดีไปวัน ๆ”
นอกจากจะบ้าผู้ชายหล่อแล้ว มันยังหลงตัวเองอีกต่างหาก ครับ...พูดแค่นั้นไอ้ฝุ่นก็สะบัดตูดเดินหายเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไป
“เพื่อนผมมันทำอะไรไว้วันสัมภาษณ์เหรอครับ” ด้วยความที่ต้องหาคำตอบให้ได้ในทุก ๆ เรื่อง (แต่ผมไม่ใช่คนขี้เสือกนะ) ผมเลยหันไปหาอาจารย์ปราชญ์ผู้น่ารักที่ไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกไปจากตรงนี้เลย
น่ารักเหรอ
อืม...นอกจากจะหล่อแล้ว เขายังนิสัยน่ารัก สมกับเป็นอาจารย์ผมจริง ๆ นั่นแหละ
“อาจารย์ท่านอื่นเอาคลิปมาให้ดูว่าโจทย์ตอนนั้นคือให้ฝุ่นเขาทำอะไรก็ได้นะ แล้วเขาก็ร้องเพลงให้ฟัง...นี่ไง โชว์เล่นกีตาร์กับร้องเพลง เข้ากันจะตาย”
“คิดให้ผมเสร็จสรรพเลยนะครับ”
“แน่นอน...แต่บอร์นกับฝุ่นจะไปคิดอย่างอื่นก็ได้นะ ถ้ากลัวว่าโชว์แบบนี้มันจะโหลไปน่ะ”
“ตอนนี้ผมเอาอะไรก็ได้แล้วครับ มีโชว์ก็พอแล้ว”
“ทำอะไรก็ได้ เต็มที่ก็พอ...เดี๋ยวครูไปทำงานก่อนนะ พอดีทางคณบดีเขาให้ครูมาดูแลเด็ก ๆ ที่นี่น่ะ นี่เห็นเด็กภาคตัวเองยืนคุยเลยแวะมาหาแค่นั้นแหละ”
“อ่อ...ขอบคุณคร้าบอาจารย์”
เห็นอาจารย์ปราชญ์ยิ้มจนตาหยีพร้อมโบกมือให้ผมก็เผลอยิ้มออกมา ไอ้เผลอยิ้มน่ะมันไม่เท่าไหร่หรอก แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมองตามแผนหลังกว้างของอีกคนไปเรื่อย ๆ จนหยุดสายตาตัวเองไม่ได้นี่สิ...
แม่งโคตรน่ากลัวเลยปฏิกิริยาผมเนี่ย
“ยืนทำไรอยู่ล่ะ ไปเปลี่ยนชุดสิ เดี๋ยวเขาจะถ่ายรอบต่อไปแล้ว” นั่น ยังไม่ทันทำไรเลย ไอ้ฝุ่นก็ออกมาพร้อมบ่นแวด ๆ ใส่ผม ประหนึ่งมารดาคนที่สองจริง ๆ
“จ้า เดี๋ยวตามไป”
???
ตกเย็น
พ่อเล่นถ่ายยันตะวันตกดินเลยไหมล่ะ ก็แหงล่ะ มีตั้งกี่ภาค แล้วแต่ละภาคก็ไม่ได้ถ่ายกันแค่รูปสองรูป แต่ผลลัพธ์มันออกมาดีผมก็ไม่ได้อะไร แต่ที่อะไรก็จะมีแต่...
“มึง แต่เราจะกลับยังไงวะ”
ออกจากสตูฯ มาปุ๊บฟ้าก็มืดจนเกือบจะมองเห็นดาวอยู่แล้ว นี่ถ้าข้างนอกตึกเขาไม่เปิดไฟนี่ผมจะคิดว่ามันเป็นที่เปลี่ยวด้วยซ้ำ ขามามันเป็นตอนกลางวันนั่งแท็กซี่มาก็เสียหลายบาทอยู่ แต่เวลาแบบนี้แท็กซี่จะมีผ่านหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
“ตอนมากูเรียกวินอะ แต่เปลี่ยวขนาดนี้ไม่น่ามีวินวิ่งผ่านหรอก”
“เดินออกจากซอยแล้วค่อยคิดดีไหม”
“เออ ๆ คุ้มกันกูด้วยนะ ใครจะข่มขืนกูมึงก็ดูแลกูด้วย”
“ก่อนพวกแม่งจะข่มขืนมึง กูคงโดนแทงตายก่อนเลย” นิสัยโจรมันชอบเป็นแบบนี้แหละ ตัดกำลังโดยฟาดผู้ชายก่อนเลย
พูดเรื่องแบบนี้ทีไร ไม่กล้าก้าวขาออกจากสตูฯ เลยเถอะ พวกเด็กปี 1 ภาคอื่นก็กลับไปกันแล้วด้วย เจ้าของสตูดิโอเขาก็อยู่ที่นี่ เด็กน้อยสองคนอ่อนประสบการณ์ต่างถิ่นเลยต้องหาทางกลับกันอย่างเดียวดายแบบนี้แหละครับ
“บอร์น รีบเดินไหม กูรู้สึกว่ามีใครตามไม่รู้อะ” ระหว่างทางที่เพิ่งเดินออกมาจากสตูฯ เพียงไม่กี่ก้าว ไม่รู้ไอ้ฝุ่นมันดูหนังมากไปหรือเปล่า ดันพูดประโยคน่ากลัวทำเอาผมเสียวสันหลังขึ้นมาแปลก ๆ
“มึงอย่าหลอกกันเองดิ” ปากก็พูดไปงั้นแหละ แต่มือนี่คว้าแขนมันให้รีบเดินแล้ว
บรืนนนน...
เชี่ย เสียงมอเตอร์ไซค์! มันจะเหมือนในหนังปะวะที่มีมอเตอร์ไซค์ขี่ประกบหน้าหลังแล้วดักปล้นชิงทรัพย์พร้อมฉุดผู้หญิงไปทำมิดีมิร้ายส่วนผู้ชายโดนซ้อมจนตายแล้วเอามาหมกอยู่แถว ๆ ข้างทางอะไรแบบนี้
“รออะไรล่ะ วิ่งดิ”
บรืนน!
เชี่ยเอ๊ยยย มึงจะเร่งเครื่องทำหอกอะไรล่ะครับ!
“อ๊ากก!!!”
“บอร์น! ฝุ่น!”
กึก
ผมชะงักไปจนหน้าเกือบคว่ำก่อนจะรั้งแขนไอ้ฝุ่นไม่ให้มันบ้าเหมือนวิ่งหนีช้างตกมัน ก่อนจะค่อย ๆ มองไปด้านหลังที่มีแสงไฟจากมอเตอร์ไซค์ส่องสว่างมาจนผมต้องเอามือมาป้องตาเพื่อให้เห็นเจ้าของน้ำเสียงนั่นชัด ๆ
“ตามแทบตาย จะวิ่งหนีครูทำไมเนี่ย”
“อาจารย์!”
สวรรค์สัด ๆ เห็นอาจารย์ปราชญ์ในที่มืดขนาดนี้ ผมกับไอ้ฝุ่นนี่แทบจะเข้าไปกระโดดกอดขาอาจารย์แกสักที ถ้าไม่ติดว่าขาสองข้างแกวางไว้ตรงที่พักเท้าของมอเตอร์ไซค์ทั้งสองข้างน่ะนะ
ฮือ...ทีหลังก็บอกกันสิ ไม่ใช่เร่งเครื่องเอา เร่งเครื่องเอาแบบนี้ ใจลูกบ่ดีเลยอีพ่อเอ๊ย
สุดท้าย เราก็ต้องนั่งซ้อนสามท้าทายการจ๊ะเอ๋กับด่านตำรวจที่วันดีคืนดีอาจจะมาตั้งด่านอยู่แถว ๆ นี้ แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีครับ คนตัวสูงข้างหน้าผมพาเด็กน้อยอ่อนด้อยประสบการณ์มาถึงยังหอพักโดยสวัสดิภาพ
“อาจารย์ไม่กินข้าวกับพวกเราจริง ๆ เหรอคะ” หิวจะตายห่า แต่อาจารย์ปราชญ์ก็ยังยืนกรานว่าจะไม่อยู่กินข้าวกับพวกเรา
“ครูต้องกลับไปเตรียมการสอนให้พวกเรานั่นแหละ”
“ไม่ต้องเตรียมหรอกครับ จะได้ยกคลาสไปเลย”
“หืมมม..”
“ฮ่า ๆ”
“เอฟไหม”
“แง อาจารย์ผมขอโทษ...กลัวแล้ว ผมอยากเรียนกับอาจารย์มากเลย อยากเรียนทู้กกกอาทิตย์ ทุกวันเลยครับ” เกือบแล้วไหมล่ะ เกือบได้เอฟมาแดกรับปี 1 แล้วกู แต่อาจารย์ปราชญ์แกก็ไม่ได้ว่าอะไรได้แต่หัวเราะเบา ๆ ให้กับความกลัวว่าจะติดโปรติดเอฟของผม
“เตรียมตัวให้ดีละกัน พรุ่งนี้เข้มข้นแน่ ๆ”
“ครับผม / ค่ะ”
และแล้ว ผมก็ยืนส่งอาจารย์ปราชญ์ที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่งเข้าไปในซอยห้าจนลับตาไป คิดแล้วก็เสียดายที่อาจารย์แกไม่ได้มากินข้าวกับเราเหมือนอาทิตย์ก่อนเปิดเทอมครั้งนั้น แต่ผมก็ไม่ได้หวังอะไรหรอก ได้เรียนกับอาจารย์ไปตลอดปี เห็นหน้าอาจารย์ไปยันจบปี 5 นี่ก็ถือว่าดีแล้ว
และพอภาพของอาจารย์ปราชญ์มันลับตาไป ผมก็หันกลับมาเพื่อจะไปร้านข้าวกับไอ้ฝุ่น
“เฮ้ย!” ไอ้ห่า หน้ามึงจะสิงกูแล้วเนี่ยฝุ่น
“สะกิดรอบที่ร้อยละ...เป็นห่าไร โดนของเหรอ”
“ของเหี้ยไร...จะแดกไหมข้าวอะ”
“แดก”
ผมจะไม่ให้มันรู้เด็ดขาดว่าตอนนี้ในใจผมคิดอะไรอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น แต่คงต้องเก็บทุกอย่างไม่ให้ใครรู้ตั้งแต่ตอนที่มันยังไม่ชัดเจนนี่แหละ บางทีความรู้สึกนี้มันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบก็ได้
“ชอบอาจารย์ปราชญ์เขาเหรอ”
เพล้ง!
เหมือนแก้วที่อุตส่าห์ทะนุถนอมมาอย่างดีแต่เสือกเดินสะดุดแล้วแก้วมันหล่นแตกไปต่อหน้าต่อตา...ไอ้ฝุ่นมันมีซิกส์เซนส์เหรอวะ หรือมันมีพรายกระซิบ ไอ้ซ้าด อ่านใจกูออกได้ด้วยว่ะ
“หูแดงแสดงว่าใช่...มิน่า สนิทกับอาจารย์เขาก่อนใครเลย...มึงมันร้าย”
“ร้ายเหี้ยไร กูจะไปชอบเขาได้ไง กูเป็นผู้ชายนะเว้ย” ในอดีตที่ฟาดมาแล้วทุกเพศอย่างผมนี่เขาเรียกว่าผู้ชายแท้ปะวะ
“แล้วไงวะ กูเป็นผู้หญิงกูยังชอบเขาเลย” เดี๋ยว ๆ “ยังไง แล้วถ้าให้กูมองนะ มึงมันไม่ได้ชอบแบบกูด้วย”
“เพ้อเจ้อ ไปหาข้าวกินได้แล้วไป”
“เพ้อเจ้อ...แหม มองเขาตาเยิ้มเลยนะ อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะบอร์น มึงหลบสายตาแม่หมออย่างกูไม่ได้หรอกค่ะ”
“แม่หมอหรือแม่ช่างเสือก” โอกาสนี้แหละ ชิ่งหนีให้ไว หาร้านข้าวแล้วเข้าไปนั่ง ไอ้บ้านี่มันจะได้เลิกตอแยกับผมสักที
“ดูออกนะบอร์น คนที่ไม่ได้คิดอะไรกับใครเขาไม่มีทางมองอีกคนด้วยสายตาแบบนี้หรอก มึงลองไปมองไอ้แม็กแบบที่มึงมองอาจารย์ดิ แล้วมึงจะรู้ว่าความรู้สึกที่มองมันจะแตกต่างกัน”
“เป็นพี่ฉ้อยพี่ออดปะมึงอะ”
“พี่อ้อยพี่ฉอดป๊ะไอ้สัด...ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย” นั่น มันพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็เอามือมาตบไหล่จนผมเผลอสะดุ้งเบา ๆ เหมือนวิญญาณเพิ่งเข้าร่าง “จะยังไงก็แล้วแต่กูแค่จะบอกมึงไว้ว่า...”
“...............”
“ถ้ามึงชอบอาจารย์ปราชญ์จริง มึงมีศัตรูเกือบทั้งคณะเลยนะเว้ย”
“ให้กำลังใจกูดิ” เอาเถอะ ถึงขั้นที่เพื่อนผมมันก็รู้ไปขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ต้องมีอะไรต้องปิดแล้วปะวะ แล้วดูหน้ามันด้วย หัวเราะเหมือนตัวเองกำไพ่เหนือผมขนาดนั้นมันคืออะไร!
“ก็แค่เนี้ยเพื่อนบอร์น กูให้กำลังใจมึงอยู่แล้ว เผลอ ๆ เชียร์มึงด้วยซ้ำ ชงแก้วแตกไปเลย ไม่ได้เสียกันกูไม่เลิกชง”
“ใจเย็นนะ กูว่ามันชักจะเลอะเทอะใหญ่แล้ว”
“อ้าวนี่กูจริงจังนะเว้ย เพื่อนจะมีความรักกูก็ยินดีด้วย” ขอบใจมากมึง แต่ถ้ามึงรู้ว่าในอดีตความรักกูเป็นยังไงบ้าง มึงอาจจะเลิกชงเดี๋ยวนี้เลยก็ได้
อยากรู้ล่ะสิว่าสมัยก่อนผมเป็นคนยังไง สมัยก่อนที่ว่า คือสมัยม.ต้นและม.ปลายไงล่ะ แต่ยังไม่บอกหรอก แค่จะสปอยล์ไว้ก่อนว่าสมัยก่อนผมไม่ธรรมดาและมันก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะเอามาอวดกัน ขนาดตัวผมยังกลัวตัวเองเลย แถมยังกลัวด้วยว่าถ้าผมเผลอไปจริงจังกับใครอีกครั้ง มันจะเป็นการไปทำร้ายใครเขาหรือเปล่า
“เฮ้ย หน้าเครียดเชียวนะ นี่มึงจริงจังเรื่องศัตรูที่กูพูดเมื่อกี้ปะเนี่ย” เหมือนผีผลักอะ รู้ตัวอีกทีเข้ามานั่งในร้านแล้วจ้า
“เปล่าเว้ย ศัตรูอะไรไม่เคยกลัว”
“คนจริงเวอร์...นั่นแหละ อย่าลืมนะกูอยู่ข้างมึง”
“ซึ้งน้ำใจมึงจริง ๆ เลยค่ะ...แต่มึงอย่าเพิ่งเอาไปบอกไอ้แม็กมันนะเว้ย”
“อ้าว ทำไมอะ”
“ถามงี้แสดงว่ามึงจะไปบอกมันล่ะสิ”
“เปล่า ๆ กูแค่สงสัย แบบว่า...มีไรบอกเพื่อนไม่ได้อะไรงี้เหรอ”
“ไม่ใช่หรอก คือกูก็ไม่ได้แน่ใจอะไรขนาดนั้นไง เผลอ ๆ มันก็อาจจะแค่อารมณ์ชั่ววูบอะมึง กูอาจจะเป็นเหมือนมึงก็ได้”
“ไม่ใช่หรอกกูว่า ดู ๆ แล้วมึงถลำลึกกว่ากูอีกนะ” ถลำลึกเหี้ยไร เปิดเทอมได้อาทิตย์เดียวกูคิดกับเขาขนาดนั้นเลยหรือไง ไอ้นี่ก็พูดแปลก
ความจริงผมก็ชอบแค่นิสัยเขา ชอบหน้าเขา ชอบที่เขามาดูแลนักศึกษาของเขาสมกับเป็นอาจารย์ในอุดมคติของเด็กหลาย ๆ คน ผมชอบที่เขาคอยสอนคอยเตือนการใช้ชีวิตของเด็กมหา‘ลัย ชอบที่เขาเป็นสุภาพบุรุษ ชอบที่เขาเป็นอาจารย์ใจดี ไม่ว่าจะขออะไรเขาก็ไม่เคยปฏิเสธ...
ผมชอบนิสัยอาจารย์เขา ไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย
ฝุ่นแม่งมั่วตลอด
TBC
