บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 : เด็กกิจกรรม

บทที่ 5

“อาจารรย์...”

ตอนนี้ผมเดินเข้ามาในห้องพักอาจารย์ภาคสถาปัตย์หลักหลังเลิกเรียน น้ำเสียงนี่อยากงอแงกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวเต็มทนแล้ว

“ว่าไง อาจารย์มาร์กจัดการเรื่องจำนวนคนให้แล้วใช่ไหม” คนหน้าหล่อตัวสูงหันเก้าอี้ให้หันมาทางผมแบบไม่รู้สึกอะไรเลย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม

เช็กหน้าผมด้วยครับอาจารย์ ก่อนที่จะเลิกคิ้วทำหน้าสงสัยแบบนั้นน่ะ

“ผมโดนให้ไปประกวดดาวเดือนอะ” ผมแกล้งทำเป็นเบะปากเหมือนจะร้องไห้ ทำเสียงกระซิก ๆ จนอาจารย์โต๊ะข้าง ๆ แกหันมามอง แต่ผมหาได้แคร์ไม่ “อาจารย์เอาไปบอกพี่เขาใช่ไหมเนี่ย”

“เฮ้ยจริงดิ” เฮ้ย ทำไมต้องทำหน้าดีใจอะ “แต่ครูไม่ได้ไปบอกพี่เรานะ...เอ๊ะ หรือว่าไม่ดีเหรอ งานนี้ใช่ว่าใครก็ได้ทำนะรู้เปล่า”

“อาจารย์ไม่ได้ทำอาจารย์จะรู้ได้ไง”

“รู้ได้ไงว่าครูไม่ได้ทำ”

ผมงี้ถึงกับกะพริบตาปริบเอียงคอมองอาจารย์ที่ปรึกษาตัวเองที่ยิ้มกรุ้มกริ่มที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะปิดคอมอะไรให้เรียบร้อยและเก็บของที่อยู่บนโต๊ะใส่กระเป๋าสะพายใบเดิม

แล้วอาจารย์จะไปทำงานแบบนั้นได้ยังไงก็ในเมื่อเขาต้องมาสอนพวกผมอะ

“ปะ กลับกัน เดี๋ยวครูเล่าให้ฟังว่าชีวิตครูยังมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำตอนเรียนบ้าง...เอ๊ะ หรือ ’จารย์มันมาร์กเล่าหมดแล้ว”

“อ๋อ...ยังครับ เขาไม่ได้เล่าอะไรมากแค่เล่าชีวิตเขากับอาจารย์แค่นั้น”

“ก็ดี...เดี๋ยวไปหาร้านนั่งคุยกันหน่อยดีกว่า เราจะได้รู้ไงว่าเพราะอะไรครูถึงอยากให้เด็กปี 1 ทุกคนเก็บประสบการณ์การเป็นนักศึกษาปีแรกให้มากที่สุด”

แล้วคนตัวสูงที่โตกว่าทั้งทางความคิดและอายุก็เดินนำผมไปที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งในคณะศิลปกรรมศาสตร์ ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับว่าทำไมต้องมาร้านของคณะอื่นด้วย มันเป็นเพราะว่าคณะผมไม่มีอะไรแบบนี้ให้นั่งไง และคณะผมก็เป็นคณะเล็ก ๆ มีตึกเรียนเป็นของตัวเองนี่ถือว่าเป็นบุญมากเท่าไหร่แล้ว

“เอาคาปูชิโน่ปั่นแก้วหนึ่งครับ” อาจารย์ปราชญ์สั่งกับพนักงานคนขายที่ดูเหมือนจะเป็นแค่นักศึกษา “บอร์นเอาไร”

“อะไรเบาสุดเหรอครับ”

“น้ำเปล่า”

“โห ’จารย์” นี่ไง กูโดนเล่นอีกดอกหนึ่งแล้วไหมล่ะ “เอาลาเต้ครับ”

ก็ไม่คิดว่าเขาจะเล่นมุกอะไรแบบนี้ได้เหมือนกันนะ บาทสองบาทก็เก็บไม่ให้เหลือ

“ไหน อาจารย์มีไรจะเล่าให้ผมฟัง” พอก้นถึงเก้าอี้ปุ๊บ ผมก็เปิดเรื่องเองทันที ต่างกับอีกคนที่มองบรรยากาศในร้านไปเรื่อย ๆ เหมือนกำลังซึมซับบรรยากาศและรายละเอียดของคาเฟ่ที่นี่อยู่

จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่าร้านกาแฟธรรมดา ๆ แค่มีร่องรอยของศิลปะมากมายที่สมกับเป็นร้านกาแฟของคณะศิลปกรรมศาสตร์เท่านั้นเอง

ผนังมีภาพวาดเป็นสีพาสเทลมองแล้วดูสบายตาและตกแต่งด้วยอิฐแดงที่เหมือนว่าจะถูกทาสีให้กลายเป็นน้ำตาลอ่อน และมีตุ๊กตาไม้วางอยู่ตามโต๊ะต่าง ๆ

“อาจารย์เคยประกวดดาวเดือนมาก่อนเหรอ...ใช่ไหม ๆ ไม่งั้นไม่พาผมมาคุยเรื่องนี้หรอก” ถ้าให้เดานะ

“อืม...หัวไวดีนี่หว่า” แน่นอน นี่ใคร นี่บอร์นนะ “ครูแค่จะบอกว่าแค่ประกวดอะไรแบบนี้น่ะมันไม่ได้มีอะไรยากหรอก มีแต่ความท้าทายเต็มไปหมด ไม่ใช่ว่าครูพยายามยัดเยียดให้เราทำกิจกรรมนะ แต่...มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่แหละครับ ผมรู้ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี แต่ผมกลัวผมเสียการเรียนอะ”

“มันแค่ช่วงแรก ๆ ช่วงที่ประกวดมันยังไม่มีงานอะไรมากหรอก จะมีก็แต่หลังจากนั้นเป็นต้นไปแหละ อยากเรียนอยากทำงานที่อาจารย์เขาสั่งอย่างเดียวก็จะได้ทำช่วงนั้นให้สะใจเลย” เหมือนโดนประชด

“แล้ว...ตอนที่อาจารย์ประกวดอะ เป็นไงบ้างเหรอครับ”

และอาจารย์ปราชญ์ก็เริ่มเล่าถึงความหลังเมื่อแปดปีที่แล้วให้ผมฟัง ตั้งแต่ที่อาจารย์แกเข้ามาใหม่ ๆ ก็มีรุ่นพี่บ้ากิจกรรมมาลากตัวให้เขาไปประกวดดาวเดือน ตอนนั้นแกก็บอกว่างง ๆ เหมือนกัน เป็นเด็กบ้านนอกอะไม่ค่อยรู้หรอกว่าดาวเดือนอะไรพวกนี้คืออะไร แต่พอเขาชวนก็เออออไปตามน้ำ จับพลัดจับผลูได้รางวัลป๊อปปูล่าโหวตในรอบมหา‘ลัยเฉย

ส่วนโชว์ที่อาจารย์เอาไปโชวร์รอบคณะคือร้องเพลงอคูสติกคู่กับดาวภาคเดียวกัน เป็นโชว์ง่าย ๆ แต่ดันเข้าไปยังรอบมหา‘ลัย แล้วส่วนรอบสุดท้ายอาจารย์แกโชว์กีตาร์ไฟฟ้าคู่กับดาวคณะเดียวกัน พอดีว่าเป็นขาร็อคเหมือนกันเลยไปด้วยกันได้ แถมดาวคณะเดียวกันก็ได้เป็นถึงดาวมหา‘ลัยด้วย ยังโม้อีกนะว่าปีนั้นเป็นปีที่สถาปัตย์คณะเล็ก ๆ ในมหา’ลัยนี้รุ่งเรืองมาก

แถมสมัยเรียนอาจารย์แกยังทำมาแล้วเกือบทุกอย่าง เคยมีกีฬามหา‘ลัย นี่ไปเดินขบวนถือป้ายคณะมาแล้ว ชมรมดนตรีแกก็อยู่ มีวงเป็นของตัวเอง มีงานอะไรก็ไปโชว์ที่นั่น กวาดรางวัลมาเยอะแยะ

จะเรียกว่าเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงก็ว่าได้เหมือนกันแฮะ

“ดีจัง แต่ผมจะทำได้อย่างอาจารย์เหรอ สมัยนี้คนเก่งเยอะแยะ”

“เก่งแล้วไงอะ ถ้าไม่มีอะไรเจ๋งก็สู้คนมีกึ๋นไม่ได้หรอก” อย่ามาคาดหวังอะไรกับคนอย่างผมเลย คนไม่ค่อยมีอะไรดีอย่างผมมันจะไปได้สักเท่าไหร่กัน “อยากได้โชว์แบบไหนก็ลองคุยกับพี่เขาดู เอาที่เราถนัดแล้วมันดูมีอะไร แล้วก็เตรียมตัวตอบคำถาม นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วนะ”

“เฮ้อ...” ถอนหายใจแรง ๆ ได้ปะ ฟังจากที่เขาเล่ามาแล้วผมนี่เป็นท้อจริง

“ไม่เอาน่า” มือใหญ่เอื้อมมาจับไหล่ผมพร้อมตบมันเบา ๆ “ลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวจริง ๆ หรือไม่ชอบจริง ๆ จะถอนตัวก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าผมแพ้ปะ”

“แพ้อะไร ยังไม่ทันแข่งเลย”

“แพ้ใจตัวเองไง”

“ฮั่นน่อ...มาคมอีกแล้ว เลือดออกแล้วเนี่ย” อาจารย์แกทำทีเป็นเอามือทาบอกพร้อมเบ้หน้าเหมือนคนเจ็บปวดที่ตรงนั้นจริง ๆ จนผมอดหัวเราะออกมากับท่าทีของเขาไม่ได้เลย

ผมว่าไม่ใช่แค่ใบหน้าของอาจารย์อย่างเดียวหรอกที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนดูหลงและชื่นชมจนหัวปักหัวปำ แต่เป็นเพราะอาจารย์แกเป็นคนเข้าถึงง่าย ให้กำลังใจคนเป็น เป็นอาจารย์ที่ดีพอที่จะสอนคนให้นักเรียนนักศึกษาเป็นคนดีได้

แม้ว่าตัวเองประสบการณ์จะน้อย แต่ก็ไม่เคยถือตัวว่าอาจารย์กับนักศึกษาจะต้องเหมือนอยู่กันคนละโลก ทั้งยังไม่เรียกแทนตัวเองว่าอาจารย์จนดูห่างเหินเหมือนอาจารย์เก่ง ๆ ท่านอื่นอีก

แบบนี้มั้ง ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอาจารย์ไม่ได้เป็นแค่อาจารย์ในสายตาผม

“อ้าว ปราชญ์...”

นั่งดูดกาแฟในแก้วอยู่ดี ๆ ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังผม ซึ่งพอเงยหน้าขึ้นไปหาคนที่เพิ่งถูกเรียกชื่อเมื่อกี้ อาจารย์ปราชญ์แกก็ดีใจโบกมือหยอย ๆ เป็นเชิงทักทายอีกคน

ใครวะ

เท่านั้นผมก็ลองหันกลับไปมองว่าใครกันที่เอ่ยชื่ออาจารย์ทั้งแบบนั้น แล้วการหันกลับไปมองของผมมันก็ดูจะไร้ประโยชน์เหลือเกิน เพราะถึงจะรู้ว่าบุคคลที่มาใหม่เป็นผู้ชาย แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเขาเป็นใคร ได้แต่หันไปมองและยกมือไหว้ตามประสาเด็กที่เห็นผู้ใหญ่จนคนที่มาใหม่เดินเข้ามาประชิดตัวอาจารย์ปราชญ์

“สวัสดีครับ...อยู่ภาคไหนเนี่ยเรา” เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นผมเฉย

“อยู่’ถาปัตย์หลักครับ”

“อ้อ เจอกันแน่นอน น่าจะเป็นวันพุธเนอะ” อะ...ฮะ? อาจารย์อีกแล้วเหรอ

ผมไม่รู้ว่าคณะนี้เขาผลิตคนหน้าตาดี (อีกแล้ว) กันเหรอ พวกนักศึกษาอะผมเข้าใจ ร้อยพ่อพันแม่มายังไงก็ต้องมีพวกที่หน้าตาน่ามองกันบ้างแหละ แต่กับอาจารย์ดิอาจารย์น่ะ...คนนี้เขาออกแนวขาวตี๋เหมือนพวกนายแบบที่อยู่ตามปกหนังสือแฟชั่นอาร์ต ๆ ไรงี้เลย แถมใส่แว่นกลมช่วยขับให้หน้าดูเด็กลงไปได้อีก

“นี่อาจารย์โอบ สอนเขียนลายเส้นปี 1” อาจารย์ปราชญ์แนะนำอีกรอบจนผมอดยกมือไหว้อีกรอบไม่ได้เลย “นั่งด้วยกันไหมพี่”

เป็นรุ่นพี่อาจารย์ปราชญ์เหรอ

หน้าโคตรเด็ก

“ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว พอดีต้องไปคุยธีสิสกับปี 5 ต่อ แค่มาหาอะไรให้ตาสว่างน่ะ”

“สู้ ๆ นะครับพี่”

แล้วอาจารย์โอบ อาจารย์หนุ่มหน้าตี๋และขาวใสมากก็เดินพยักหน้าให้อาจารย์หนึ่งทีก่อนจะเดินหายไปจากร้าน จนตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับอาจารย์ปราชญ์และนักศึกษาคนอื่น ๆ ภายในร้านเท่านั้น

จนตอนนี้ผมก็ไม่มีอะไรจะคุยกับอีกคนเท่าไหร่ ซึ่งเขาเองก็ดูเหมือนว่าจะนั่งเงียบไปสักพัก แถมสายตาก็มองนั่นมองนี่ บางทีก็มองทะลุกระจกร้านออกไปจนผมต้องเผลอมองตาม

“มีอะไรจะถามไหม”

อุ้ย สะดุ้งเลย “อ๋อ...ไม่ครับ”

“แล้วอยากโชว์อะไรล่ะ เรื่องดาวเดือนน่ะ” วกเข้าเรื่องเดิมอีกแล้วนะ

“ยังไม่แน่ใจเลยครับ แต่เมื่อกี้เห็นอาจารย์บอกว่าเคยโชว์กีตาร์ใช่ไหม ผมก็คิด ๆ อยู่ว่าจะเอาโชว์แบบอาจารย์ดีหรือเปล่า”

“ก็ดีนะ ถ้าเล่นกีตาร์ได้ก็หาอะไรไปโชว์ได้แล้ว”

“แต่ผมกลัวมันจะไปซ้ำกับภาคอื่นเขาอะครับ แล้วก็...” เมื่อกี้ก่อนออกจากห้องมาก็ได้ยินพี่คุยกันว่าจะต้องเป็นโชว์ที่ดาวและเดือนโชว์คู่กันใช่ไหม ผมก็ไม่รู้ว่าคะนิ้งจะร้องเพลงได้หรือเปล่า ดูจากท่าทางเมื่อกี้แล้วกลัวเหลือเกินว่าจะต้องทะเลาะกัน “ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”

“เอาสิ ลองไปคุยกับพวกพี่ ๆ ดู เราจะได้เป็นฝ่ายเลือกโชว์ก่อนแล้วจะได้ไม่มีใครมาซ้ำเรา”

“ครับ เดี๋ยวผมจะลองไปบอกพวกพี่เขาดู”

พูดมาแบบนั้น ก็คงมีแต่จะต้องทำตามที่อาจารย์เขาแนะนำนั่นแหละ

???

สัปดาห์ต่อมา

“อะไรนะ เราจะถอนตัวเหรอ”

ไม่ใช่ผมหรอกที่จะถอนตัวถึงใจจริงอยากจะทำมากแค่ไหนก็ตาม แต่คนที่บอกว่าจะถอนตัวหลังจากที่พวกพี่ปี 2 และปีอื่น ๆ นัดผมกับคะนิ้งมาคุยเรื่องการถ่ายแบบและโชว์ แม่เจ้าประคุณคะนิ้งดันเพิ่งจะมาปฏิเสธและขอถอนตัวเอาวันนี้

ไม่ใช่อะไร ผมอยากเอาบ้าง

“ทำไมล่ะ อาทิตย์ที่แล้วยังโอเคอยู่เลยนะคะ”

“ตอนนี้หนูไม่โอเคแล้วค่ะ”

“แล้วทำไมหนูไม่บอกพี่ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วคะ ตอนนี้พี่หาคนแทนไม่ทันแล้วนะ”

“หนูไม่ได้อยากทำตั้งแต่ทีแรกแล้วนี่คะ พวกพี่เองไม่ใช่เหรอที่บังคับให้หนูลงประกวดน่ะ”

อื้อหือ...ตบกันเลย ตบกันเลย ตอนนี้ผมได้แต่ยืนเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกมาหรือถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเฟดตัวออกไปจากที่ตรงนี้เสียให้ได้ เพราะสถานการณ์มันเริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแต่มีรุ่นพี่เริ่มชักสีหน้าและโทนเสียงที่เริ่มเปลี่ยนไป

“ถ้าคะนิ้งบอกพี่ดี ๆ ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว พี่ก็จะไม่ว่าอะไรนะ แต่เราเพิ่งจะมาบอกพวกพี่เอาตอนนี้ พี่จะไปหาใครทันคะ เสาร์นี้เริ่มถ่ายโปรโมตแล้วนะ”

“เสียงดังอะไรกันเด็ก ๆ” สี่ห้าคนที่ยืนคุยกันอยู่ตรงระเบียงทางเดินหน้าห้องเรียนรวมทั้งผมด้วย เผลอหันไปมองเสียงของใครบางคนที่เดินออกมาจากห้องภาควิชา “มายืนคุยอะไรกันตรงนี้เนี่ย”

“สวัสดีค่ะอาจารย์โอบ” รุ่นพี่ปี 2 ยกมือไหว้อาจารย์หน้าเด็ก จนเด็กปีน้อยอย่างผมกับคะนิ้งเองก็ยกมือไหว้ตาม แต่หน้าคะนิ้งนี่สิ ถ้าให้เดาก็คงอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้เต็มทีแล้ว

“คือ...น้องเขาอยากจะขอถอนตัวจากการประกวดดาวเดือนน่ะค่ะ แล้วเสาร์นี้ต้องถ่ายรูปโปรโมตแล้ว หนูบอกไซซ์เสื้อผ้า ทุกอย่างให้ทางสตูดิโอแล้วด้วย กลัวว่าจะหาน้องคนใหม่ไม่ทัน...”

“อ้าว...ทำไมเราถึงอยากออกล่ะ”

“หนู...”

ผมเห็นหน้าคะนิ้งดูกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบไปเหลือเกิน เอาความจริง ตั้งแต่วันนั้นที่ผมโดนเธอเหวี่ยงใส่ ก็รู้สึกว่าเธอไม่ได้อยากจะทำงานแบบนี้อยู่แล้ว

“ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำค่ะ บอกเหตุผลพี่ไม่ได้พี่ก็จะได้ไปหาคนอื่น...แล้วทีหลังถ้าไม่โอเคก็ช่วยเปิดปากพูดด้วยนะคะว่าไม่อยากทำ”

“ปริม!”

เหยดแหม่ เดือดดาลเหลือเกิน ส่วนพี่ที่ชื่อปริมอะไรนั่นพอเหวี่ยงคะนิ้งเสร็จก็เดินดุ่ม ๆ ออกไป ส่วนเพื่อนพี่แกอีกคนหนึ่งก็ยกมือไหว้อาจารย์ก่อนจะวิ่งตามเพื่อนตัวเองไป เหลือไว้ก็แต่ผมกับคะนิ้งและอาจารย์โอบ

“คะนิ้ง...”

“เรื่องนี้ครูอาจจะช่วยอะไรเรามากไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอาจารย์ปราชญ์ แกน่าจะช่วยได้บ้างนะ เพราะแกก็ดูแลงานกิจกรรมนักศึกษาอยู่”

“ขอบคุณนะครับอาจารย์”

“คุยกันไปก่อน...ส่วนเรื่องรุ่นพี่น่ะช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจเลย เจ้าอารมณ์ก็อย่างนี้แหละ”

แล้วอาจารย์โอบก็เดินจากพวกผมสองคนเข้าไปในห้องภาควิชาเหมือนเดิม ก็ถือว่ามาห้ามทัพทันอยู่ แต่ที่ห้ามไม่ได้ก็คงจะเป็นไอ้ที่เดือดปุด ๆ ข้าง ๆ ผมนี่แหละมั้ง

จะกระเด็นลวกกูปะ ฮือ กลัว

แต่จากที่กลัวเป็นต้องเข้าใจและเห็นใจ เมื่อเห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมกำลังยืนร้องไห้ปาดอยู่เงียบ ๆ เห็นแล้วจะนิ่งก็ทำไม่ได้ แต่จะให้ปลอบผมก็ทำไม่ค่อยเป็น ตอนนี้เลยได้แค่อยากจะยืนร้องไห้เป็นเพื่อนเสียจริง

“บอกเราได้ไหมว่าทำไมถึงถอนตัว”

เงียบ มีแต่เสียงสูดขี้มูก จนตอนนี้ผมเริ่มอึดอัดกับเหตุการณ์ตรงหน้าจนจะไม่ไหวแล้ว

“เราไม่ชอบงานอะไรแบบนี้...”

พอเริ่มได้สติ คะนิ้งก็เริ่มพูดออกมาทีละนิด และสิ่งที่ผมพอจะจับใจความได้ก็คงจะเป็นความหลังสมัยที่เธอเคยเป็นคนถือป้ายงานกีฬาสี และเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ส้นสูงเธอหักและล้มจนต้องมีคนมาช่วยกันพยุง มันเลยเป็นช่องว่างที่ทำให้คนที่เกลียดเธอเข้ามาด่าเสีย ๆ หาย ๆ จนเธอไม่คิดจะทำงานอะไรแบบนี้อีก

งานสวย ๆ งาม ๆ มันก็ต้องคู่กับคนสวย ๆ สิ ไอ้พวกที่มาด่าเขานี่ดีมากนักเหรอ

เหลือเกินจริง ๆ คนเรา

“แล้วจะเอาไงต่ออะ จะไม่ทำแล้วจริง ๆ เหรอ”

“อืม”

ได้ยินแบบนั้นแล้วผมอยากจะพูดใส่รุ่นพี่แบบที่คะนิ้งทำบ้าง ประมาณว่า ‘กูไม่ได้อยากทำ มึงมามัดมือชกกูเอง’ แต่ความเป็นจริงพูดห่าไรออกมาไม่ได้สักคำ เลยต้องมานั่งปวดขมับอยู่แบบนี้ว่างานแรกที่โดนบังคับอ้อม ๆ นี่ ผมจะทำมันออกมาได้ดีขนาดไหน

แต่จะว่าบังคับร้อยเปอร์เซ็นต์มันก็อย่างนั้นไม่ได้อะ อาจจะบอกว่า...

โดนขอร้องจากอาจารย์ปราชญ์ แบบนี้น่าจะเหมาะกว่าเนอะ

TBC

ก็สงสารน้องเขาเหมือนกันนะคะ T T

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel