บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 : อาจารย์ที่ปรึกษา

บทที่ 3

กิจกรรมรับน้องสุดสร้างสรรค์และเลอะเทอะเยอะประสบการณ์สำหรับวันนี้ก็สิ้นสุดลง กว่าจะจบได้เล่นเอาตะวันตกดินเลย แล้วดูสภาพเด็กปี 1 แต่ละคนด้วย อย่างกับคนงานก่อสร้างตามไซต์ก็ไม่ปาน เสื้อสีเข้มทั้งดำ กรม เทา ของแต่ละคณะเต็มไปด้วยแป้งผสมสี บางคนมองไม่เห็นเสื้อสีเดิมเลยว่าเป็นยังไง ส่วนผมเหรอ นอกจากจะเปียกเพราะฐานแรกแล้ว ยังโดนแป้งละเลงจนขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า

จะอำพรางร่างกายกันอย่างนี้เลย บัดซบมากเอาจริง จะเดินกลับหอยังไงเนี่ย

“เขาให้กลับได้แล้วใช่ไหม” ฝุ่นเกาข้างแก้มตัวเองแกะแป้งที่แห้งติดใบหน้าออกก่อนจะหันมาถามผม

“มั้ง...แล้วนี่หออยู่ไหนกันเหรอ”

“กูอยู่หน้ามหา’ลัยอะ” แม็กตอบ ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ใช้มึงกูกันหมดแล้วครับ ทีแรกผมเห็นว่าแม็กเป็นผู้ชายเรียบร้อยมาก แทนตัวเองว่า ‘เรา’ นำหน้ามาก่อนเลย แต่ก็ต้องมาแหกโค้งเพราะคำว่า ‘กู’ ของฝุ่น

สรุปก็คือต้องมึงกูไปตามสภาพ แต่ผมว่ามันก็ดีนะ สนิทกันง่ายดี

“ไปกินข้าวแถวหอกูก่อนปะ กูอยู่หลังมอเนี่ย” ที่ชี้มันก็แถว ๆ หอผมเหมือนกันนั่นแหละ

“เออไปดิ จะกินไรกันวะ”

เมื่อสรุปได้ว่าจะไปกินที่ไหน ผมก็ต้องสำรวจกระเป๋ากางเกงวอร์มตัวเองที่ใส่แบงค์ร้อยไว้แค่ใบเดียว เพราะถ้าพกมาทั้งกระเป๋าสงสัยบัตรในนั้นต้องมีอันพังแน่ ๆ

แต่พอล้วงกระเป๋ากางเกงลงไปปุ๊บ...

“เชี่ย! ลืมโทรศัพท์ไว้ที่พี่” หน้าเหวอเลยกู ล้วงลงมาไม่เจอห่าไรเลยนอกจากแบงค์ร้อยใบเดียวเนี่ย “มึงได้โทรศัพท์คืนกันแล้วเหรอ”

“เออดิ พอหมดฐานคณะเรากูก็ไปหาพี่เลย” แม็กว่า

“ไมมึงไม่ชวนกูบ้างวะ” โอ้โห น้ำตาคลอเบ้าแล้วเนี่ย รุ่นใหม่ไฉไลกว่าเดิม ทั้งเพลง ทั้งรูปเพื่อนเต็มเครื่องยังไม่ได้เอาออกมาสำรองไว้ทั้งนั้นอะ “เดี๋ยวกูกลับไปเอาก่อนนะ พวกมึงไปกันก่อนเลย”

“จะไปคนเดียวอะนะ พวกกูไปด้วยดีกว่าไหม” ไอ้ฝุ่นแสดงอาการเหมือนจะเป็นห่วงผม

“ไม่เป็นไร ๆ มึงไปกันก่อนเลย...ฝากสั่งข้าวด้วยนะ เอากะเพราหมูกรอบไข่ดาว” ผมพูดเร็ว ๆ เพราะร้อนรนเรื่องมือถือตัวเองมาก ก่อนจะหันหลังเดินเตรียมเดินไปยังคณะตัวเองที่อยู่ด้านหน้ามหา‘ลัยเลย

“ไข่ดาวเอาสุกปะ”

“เอาไม่สุก”

“โอเค”

เรื่องไข่นี่สำคัญกว่าโทรศัพท์สินะ ถุย!

หันไปตอบเพียงเท่านั้นผมก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินมายังคณะตัวเองที่ผมยังไม่ค่อยชำนาญเรื่องทางเดินของมหา’ลัยนี้สักเท่าไหร่ แหงแหละ ก่อนรับน้องนี่มากี่ครั้งขอนับหน่อย แล้วผมต้องเดินผ่านคณะต่าง ๆ ที่ตอนนี้รุ่นพี่แต่ละคณะก็กำลังเก็บของในแต่ละฐานตัวเอง บางคนก็เอาไม้กวาดทางมะพร้าวมากวาดคราบแป้งที่เล่นกันยิ่งกว่าวันสงกรานต์ แต่นั่นมันไม่สลักสำคัญเท่ามือถือที่ผมหวงแหนยิ่งหรอก

เอ๊ะ ลานกว้างที่เอาไว้จัดกิจกรรมเมื่อตอนสาย ๆ มันหายไปไหนแล้วอะ ผมว่าผมก็มาถูกนะ จำตึกคณะตัวเองได้ด้วย โน่นก็ศิลปกรรมศาสตร์ ติด ๆ กันก็จะเป็นสถาปัตย์ อ้าว...ทำไมผมเห็นแต่ตึกศิลปกรรมวะ

นี่หลงทิศปะเนี่ย ยิ่งมืด ๆ อย่างนี้ระบบการนำทางในร่างกายผมมันไม่ได้แม่นยำเหมือนตอนกลางวันหรอกเว้ย

หันซ้ายหันขวา งงไปหมด อ่านป้ายที่อยู่มุมฟุตบาทว่าคณะอะไรไปทางไหน ก็เนี่ย...ยืนอยู่คณะตัวเองแล้วแต่ดันหารุ่นพี่ไม่เจอสักคน แถมตอนนี้แม่งเงียบมากชนิดที่ว่าเหมือนไม่เคยมีงานอะไรมาก่อน ไฟข้างทางก็ติด ๆ ดับ ๆ ไฟจากตึกก็มีแค่คณะข้าง ๆ เขาเปิดไว้

เอ้า นี่ผีหลอกกูเหรอ

“มาทำอะไรมืด ๆ ตรงนี้เนี่ย”

กำลังหันซ้ายหันขวาไปทางไหนไม่ค่อยถูกเลยสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อได้ยินเสียงแตก ๆ ของใครสักคนใกล้ ๆ พอหันไปก็รู้เลยว่าไม่ใช่ใครที่ไหน อนาคตอาจารย์ที่ผมต้องเรียนด้วยนั่นเอง

อาจารย์ปราชญ์สุดหล่อไงจะใครล่ะ แสงสลัวขนาดนี้ออร่าความหล่อมันสามารถทะลุความมืดออกมาจนผมไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าใบหน้าอาจารย์แกไปต้องกับสปอร์ตไลต์ขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้น

“สวัสดีครับอาจารย์” เป็นเด็กปี 1 ต้องทำตัวดี ๆ ไหว้ใครได้ไหว้ไว้ก่อนเพื่อรักษาชีวิต “อาจารย์ครับ ผมหารุ่นพี่ไม่เจออะครับ พอดีลืมโทรศัพท์ไว้ที่พี่เขา”

“อ้าวเหรอ...ลืมไว้ที่ฐานสถาปัตย์ใช่ไหม”

“ครับ”

“เดี๋ยวครูพาไปก็ได้ ลานกว้างมันอยู่อีกด้านของตึก หาใครไม่เจอเลยใช่ไหมล่ะ เลยมายืนมืด ๆ แบบนี้” คนตัวสูงกว่าผมเกือบสิบเซ็นเดินนำผมไปก่อนจนผมต้องเดินตามต้อย ๆ

“อ้าว เมื่อสาย ๆ ผมจำได้นะว่าลานมันอยู่แถว ๆ คณะศิลปกรรม ก็เนี่ย...ศิลปกรรมไม่ใช่เหรอครับ”

“ใช่ แต่ศิลปกรรมเขามีสองตึกไง ขนาบข้างสถาปัตย์เรา เลยงงน่ะสิ ตึกเหมือนกันด้วยนะ”

อ้าวฉิบหาย สรุปสัญชาตญาณผมมันไม่ได้ผิด แต่ผิดที่ผังมหา‘ลัยต่างหาก ทีหลังเวลาออกแบบไม่ควรออกแบบให้มันซับซ้อนแบบนี้นะ สงสารคนหลงทางยามวิกาลบ้างนะครับ

แล้วตอนนี้ ผมกับอาจารย์สุดหล่อเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ทั้งคณะ...ไม่สิ อาจจะทั้งมหา’ลัยเลยก็ได้ ก็เดินมาถึงลานกว้างที่เอาไว้ใช้จัดงานรับน้องที่กำลังมีพี่ ๆ กำลังเก็บขยะกันอยู่

“หนิง ๆ” อาจารย์เรียกชื่อพี่คนหนึ่งที่อยู่แถวนั้นด้วยเสียงดังก้องเหมือนตะโกน “เห็นโทรศัพท์น้องไหม น้องมาทวงคืนเนี่ย”

“เออ...หนูก็ว่าอยู่ว่าโทรศัพท์ใคร แปบหนึ่งนะน้อง”

หูย เหมือนเห็นแสงสว่างตรงหน้าขึ้นมารำไร เมื่อพี่ที่ชื่อหนิงอะไรนั่นรีบทิ้งไม้กวาดทางมะพร้าวและวิ่งเอาร่างเล็ก ๆ ไปหยิบถุงพลาสติกที่มีเครื่องมือสื่อสารสีดำเครื่องเดียวก่อนจะหยิบมันออกมาส่งให้ผม

“ขอบคุณครับ”

“ทีหลังอย่าลืมนะ เพราะไม่งั้นพี่ก็ไม่รู้จะไปประกาศหาที่ไหน โทรศัพท์เราก็มีพาสเวิร์ด”

“นี่ความผิดน้องเหรอหนิง” ยังไม่ทันที่ผมจะเถียงหรือพูดอะไรออกไป อาจารย์ปราชญ์ก็เอ่ยปากขึ้นก่อนผม “ถ้ารู้ว่ายังเหลืออีกเครื่องก็ควรจะประกาศหาเจ้าของก่อนที่น้องจะย้ายฐานสิ ไม่ใช่ให้น้องเดินมาหาเอง นี่น้องเพิ่งอยู่ปี 1 ตึกก็เหมือนกันหมด ถ้าครูไม่มาเจอน้องจะได้โทรศัพท์คืนไหมฮะ”

ยาวเลยทีนี้ พี่หนิงอะไรเนี่ยถึงกับไหว้ขอโทษอาจารย์และผมงก ๆ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้อะไรหรอก ได้ของคืนแล้วทุกอย่างก็จบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโง่เองที่จำไม่ได้ว่าพี่เขาอยู่ที่ไหน อีกอย่างคงไม่ได้ฟังด้วยว่าให้ไปรับโทรศัพท์ได้ที่พี่เมื่อไหร่ จะไปว่าพี่เขาอย่างเดียวก็ไม่ได้หรอก

“แล้วนี่อยู่บ้านหรือหอเนี่ย” เมื่อพี่หนิงขอตัวไปทำความสะอาดต่อ ผมกับอาจารย์ปราชญ์ก็ต้องเดินกลับมาทางเดิม เพราะเห็นอาจารย์บอกว่าแกจอดมอเตอร์ไซค์ไว้แถวนั้น

“อยู่หอครับ”

“อ้าวเหรอ ตรงไหนล่ะ ครูไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไรครับอาจารย์ อยู่ข้างหลังนี่เองผมเดินเอาก็ได้”

“ครูก็อยู่หอข้างหลังนี่เหมือนกัน ไปเหอะจะได้ไม่ต้องเดินเหงา”

“อาจารย์รู้ได้ไงว่าผมเหงา”

อันนี้เรียกว่ากวนตีนครูบาอาจารย์ปะ

พอผมถามไปอย่างนั้น อาจารย์ปราชญ์ที่กำลังคร่อมมอเตอร์ไซค์และหยิบหมวกกันน็อกออกมาจากตะกร้าหน้ารถก่อนจะหันมามองหน้าผมนิ่ง ๆ ส่วนผมเองก็ยืนกะพริบตาปริบเพื่อรอดูว่าอาจารย์แกจะพูดอะไรออกมา

ทีแรกคิดว่าจะโดนว่า แต่...

“มองตาก็รู้แล้วคุณ”

“ฮั่นน่อว” เมื่อกี้นี่ใจแป้วไปหมดคิดว่าจะโดนบ่นเสียแล้ว

“มาเร็ว ๆ ขึ้นรถนี่มา เดินหน้าขาว ๆ อย่างนี้เดี๋ยวชาวบ้านเขาแตกตื่นกันหมดหรอก”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับอาจารย์ ผมนัดเพื่อนกินข้าวไว้ด้วย สั่งข้าวแล้ว กะเพราหมูกรอบไข่ดาวไม่สุก”

“เดี๋ยวไปส่งถึงร้านเลยก็ได้ อยู่ร้านไหนล่ะ” จะเอาให้ได้ใช่ปะ แล้วไม่ว่าเปล่าด้วยนะ อาจารย์แกสตาร์ตรถก่อนจะยื่นหมวกกันน็อกที่มีอยู่แค่ใบเดียวมาให้ผมอีก “ปฏิเสธอาจารย์มันบาปรู้ไหม”

ศีลข้อไหนมันบอกไว้วะเนี่ย

เออ เอาเรื่องบาปบุญโทษมาอ้างแล้วผมจะทำยังไงได้ ไม่ใช่ว่าพ่อพระรักษาศีลอะไรหรอก คนอย่างผมนี่นรกออกจะชอบเสียด้วยซ้ำไป แต่ไหน ๆ เป็นอาจารย์คณะตัวเองแล้วก็ตีสนิทไว้หน่อยก็ดี เผื่อเกรดมันจะดีตามไปด้วย ดีในที่นี้หมายถึงเกรดสวยนะครับ ไม่ใช่ตัว D

“อยู่ภาคไหนเนี่ยเรา” พอเลี้ยวรถออกจากมหา’ลัย อาจารย์แกก็พูดเสียงดังขึ้นอีกระดับ

“สถาปัตย์หลักครับ”

“อ้าวเหรอ เจอกันแน่นอน ครูเป็นที่ปรึกษาเราด้วยนะ มีอะไรก็ปรึกษาได้” จุด ๆ นี้ผมควรดีใจใช่ปะครับ

“อาจารย์สอนอะไรเหรอครับ”

“วิชาพื้นฐานสถาปัตย์น่ะ ภาคอื่นครูก็สอน แต่เราจะต้องเจอกันบ่อยกว่าภาคอื่น”

แอบดีใจแปลก ๆ แฮะที่รู้ว่าจะได้อาจารย์ดี ๆ มาสอนตั้งปีหนึ่ง ก็ดูเอาสิว่าเขามีอะไรไม่ดีตรงไหนบ้าง หน้าตาก็ดี รูปร่างก็ดี ใจดีด้วย ถามหน่อยเถอะ จะมีอาจารย์คนไหนที่เป็นห่วงนักศึกษาตาดำ ๆ อย่างผมด้วยการพามาหารุ่นพี่ถึงที่ขนาดนี้อีก

เออ ใครมันจะไปใจดีเท่าอาจารย์ปราชญ์อีกล่ะวะ

“ขอบคุณนะครับอาจารย์” ผมไหว้เขาไปทีหนึ่งก่อนจะถอดหมวกกันน็อกที่ตอนนี้มันมีคราบแป้งจากหัวผมติดเลอะเทอะไปหมดให้เขาไป “อุ้ย มันเลอะแล้วอะ”

“ไม่เป็นไร ๆ ปัด ๆ เดี๋ยวก็ออกหมดแล้ว”

“อาจารย์กินข้าวหรือยังครับ”

“เดี๋ยวว่าจะออกมาหาอะไรกินดึก ๆ น่ะ”

“โห...กินดึก ๆ มันทำร้ายสุขภาพนะอาจารย์ ไปกินกับผมปะ เหมือนเพื่อนมันจะนั่งโต๊ะใหญ่ด้วย นั่งหลาย ๆ คนจะได้ไม่เหงาไง”

“นี่แสดงว่าเหงาจริงใช่ไหม” อาจารย์ปราชญ์ยิ้มให้ผมทีหนึ่ง “ก็ได้ ๆ จะได้ไม่ต้องเดินลงมาอีกรอบ”

“เย้”

ว่าแล้วคนเป็นอาจารย์ก็หาที่จอดมอเตอร์ไซค์แถวหน้าร้านข้าวที่ฝุ่นกับแม็กรออยู่ ก่อนที่ผมกับว่าที่อาจารย์ที่ปรึกษาจะเดินเข้าไปในร้านพร้อมกัน ก็ไม่ต้องถามหรอกครับว่าปฏิกิริยาของคนในร้านจะเป็นยังไง เพราะแถวนี้เป็นหอพักเอกชนที่มีทั้งคนทำงานและนักศึกษา เหล่าผู้หญิงวัยทำงานรวมไปถึงนักศึกษาที่มองแล้วน่าจะเป็นรุ่นพี่ ต่างก็หันมามองอาจารย์กันเป็นแถบ ๆ แต่สายตาไม่ได้จ้องเอาเป็นเอาตายแค่หันมามองแล้วก็หันกลับไปเพื่อไม่ให้เจ้าตัวรู้ว่ามองเขาอยู่

แต่ขอโทษครับ วิธีนี้ใช้กับผมไม่ได้ เพราะผมเองก็ใช้วิธีนี้เหมือนกันไงเลยรู้ว่าใครมองอยู่บ้าง!

แต่อาจารย์ปราชญ์ไม่ได้ดูดีเหมือนพวกผู้ชายเกาหลีที่แม่ผมกรี๊ดประจำหรอก แค่เขาดูดีสไตล์ไทยระดับหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเขาก็ดูดีในระดับที่สูงมากนั่นแหละ แล้วก็รู้สึกพราวด์มากขนาดไหนที่ได้มีโอกาสนั่งซ้อนท้ายมาถึงร้านแบบนี้

จะฟินก็...อืม ประมาณนั้นแหละ

“เชี่ย...”

นั่นไง พอผมกับอาจารย์ปราชญ์ถึงโต๊ะ ไอ้ฝุ่นเลย สะดุ้งเบา ๆ แถมสบถคำหยาบต่อหน้าอาจารย์เป๊ะ

“อาจารย์สวัสดีครับ” แม็กที่ดูมีสติหน่อย รีบยกมือไหว้อาจารย์ไปก่อน

“ขอมากินข้าวด้วยนะเด็ก ๆ”

“เชิญเลยค่ะอาจารย์ อาจารย์อยากทานอะไรเดี๋ยวหนูสั่งให้เลยค่ะ...น้ำก่อนสักแก้วก่อนไหมคะ”

ผมงี้หันไปมองหน้าไอ้ฝุ่นเลย มึงดูเป็นผู้หญิงขึ้นมาเดี๋ยวนั้นอะ แล้วเสียงสองเสียงสามน่ะไม่ต้องเลย แต่มันก็จะพีคสุด ๆ ก็ตรงที่อาจารย์เข้าไปนั่งข้าง ๆ มันนี่สิ

“หวังเอปะเนี่ย”

“หูย อาจารย์รู้ทันอะ” กำลังจะไปหยิบแก้วน้ำให้คนโตสุด แต่เกือบสะดุดเพราะคำทักของอาจารย์แก “ไม่เป็นไรค่ะอาจารย์ หนูเต็มใจ ไม่เอฟก็พอเนอะ”

“อาจารย์ครับ ผมขอเสียมารยาทได้ไหมอะ” ผมตักข้าวที่เพื่อนสองคนนี่สั่งให้ไว้เข้าปากก่อนจะหันไปหาแม็กที่เอ่ยปากคุยกับคนที่นั่งอยู่ข้างมัน

“อื้ม”

“อาจารย์อายุเท่าไหร่เหรอครับ”

“ทำไมอะ” ถามเรื่องอายุก็จะอย่างนี้แหละ เงยหน้าขึ้นมาจากมือถือพร้อมเหล่ตาใส่เพื่อนผมหนึ่งที “ครูหน้าแก่เหรอ”

“เปล่าครับ แค่ผมอยากรู้ว่าทำไมอาจารย์ดูเด็กจัง”

“ครูยี่สิบหกแล้ว”

“โห งี้ก็เพิ่งสอนใช่ปะครับ” ผมนี่แหละที่ถามออกไป

“เปล่า ๆ สอนมาสองปีแล้วน่ะ...ทำไมอะ กลัวว่าจะสอนไม่ดีเหมือนอาจารย์ท่านอื่นล่ะสิ”

จะบอกว่ากลัวสอนไม่ดีก็ไม่ใช่หรอก เพราะอาจารย์แต่ละคนที่ผมเห็นเดินกันอยู่ในมหา’ลัย เขาดูมีอายุกันทุกคน ยิ่งคณบดีหรืออธิการที่ขึ้นพูดเมื่อเช้าก่อนเข้าฐานนะ ไม่กล้าเล่นด้วยเลย แต่พอมาเห็นคนที่อายุไม่ถึงสามสิบอย่างอาจารย์ปราชญ์แล้ว ก็ไม่คิดหรอกว่าจะมีคนอยากเป็นอาจารย์ตั้งแต่อายุแค่นี้

“เปล่าครับ คือผมสงสัยว่าอาจารย์ไม่อยากไปทำงานอย่างอื่นเหรอ แบบ...เรียนจบแล้วก็มาสอนเลยอะไรแบบนี้ใช่ปะครับ”

“อืม ครูเรียนหลักสูตรห้าบวกหนึ่ง เรียนหกปีก็ได้ป.โทเลย เพราะภาคเรามันเรียนห้าปีนี่ถูกไหม” อาจารย์หลบให้พี่ลูกจ้างร้านยกข้าวผัดที่มีผักคะน้าเต็มจานมาเสิร์ฟก่อนจะพูดต่อ “จบโทก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ทีแรกก็อยากไปอยู่ตามบริษัทเหมือนกันนะ แต่เหมือนมันเรียนเหนื่อยแล้วหรือไงไม่รู้ ครูเลยมาสอนดีกว่า”

“อ้าว แล้วงานอาจารย์มันไม่เหนื่อยเหรอคะ”

“เหนื่อยนะ แต่ครูว่ามันก็น่าจะไม่เท่ากับตามบริษัทหรอก อันนั้นเขาใช้งานเราเป็นว่าเล่นเลยนะ อีกอย่าง อยู่กับเด็ก ๆ อย่างพวกเราสนุกดีเหมือนกัน เหมือนเห็นตัวเองตอนเรียนอยู่เลย”

“แล้วอาจารย์ไม่คิดจะออกใช่ไหมครับ”

พอแม็กถามไปแบบนั้น มือที่เขี่ยข้าวในจานของเขากลับนิ่งลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคำถามของมึงนี่ก็กระแทกแรงอยู่นะ

“ไม่นะ อยู่อย่างนี้ครูว่าก็มีความสุขดีแล้ว ถ้าออกก็ไม่รู้จะไปไหนด้วย”

“ดีจัง ถ้าผมเรียนจบกลับมาแล้วผมต้องเห็นอาจารย์สอนน้องอยู่นะ” ผมพูดขึ้นก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของอาจารย์ปราชญ์ที่กำลังคลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมาให้ไอ้ฝุ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กระทืบเท้าปั้ก ๆ

“อาจารย์...” เสียงแหลม ๆ ของไอ้ฝุ่นดูทุรนทุรายยังไงไม่รู้ “อาจารย์ยิ้มหล่อมากเลยอะรู้ตัวปะคะ”

“จริงเหรอ”

“ฮือออ”

ใจเย็นนะฝุ่น ส่วนอาจารย์นี่ก็อ่อยเด็กจัง รู้ว่าเพื่อนผมชอบก็หันไปยิ้มให้ใหญ่เลยนะ แถมไม่ยิ้มเปล่า ๆ นะแต่กลับหัวเราะให้กับท่าทีของฝุ่นที่ตอนนี้ก็บิดตัวเขินจนไส้จะขาดอยู่แล้วด้วย แต่ผมว่าไม่ว่าผู้หญิงคนไหนส่วนใหญ่ก็อาจจะแพ้ให้กับอาจารย์ปราชญ์อยู่แล้ว ยิ่งเวลาที่อาจารย์แกยิ้มออกมา มันทำให้ผู้ชายคนนี้ดูมีอะไรขึ้นมาเยอะเลย

อย่าว่าแต่ผู้หญิงจะชอบเลยครับ

ผู้ชายอย่างผมก็ดูไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก

TBC

เนี่ย อาจารย์ในอุดมคติ

รักกันชอบกัน อย่าลืมคอมเมนต์ให้กำลังใจกันได้นะคะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel