ตอนที่ 8 หวังดีหรือผลักไส
ตึกสูงใจกลางเมือง
ทิวากรสีหน้าบึ้งตึงสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินวนไปมาอยู่ภายในห้องทำงาน ตั้งแต่ไปส่งอันนาเขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ไม่สุขไม่มีสมาธิทำงาน
“ก๊อก ก๊อก คุณกรคะ ทุกคนพร้อมประชุมแล้วค่ะ” ยุรีเปิดประตูห้องทำงานมาหาเจ้านายซึ่งปกติเขาจะไปห้องประชุมตรงเวลาตามกำหนดประชุมไม่เคยช้าเลยสักครั้งแต่วันนี้เวลาล่วงเลยไปเกือบสิบนาทีทำให้ยุรีที่เตรียมสื่อนำเสนออยู่ในห้องประชุมต้องรีบวิ่งกลับมาตามเจ้านาย
“ขอโทษที ผมมัวแต่คิดโปรเจคใหม่” ทิวากรน้ำเสียงเรียบเฉยพ่นลมหายใจก่อนจะเดินผ่านยุรีแล้วเดินนำไปที่ห้องประชุม ยุรีวิ่งตามหลังเขาด้วยความแปลกใจวันนี้เจ้านายสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวในเข้าประชุมซึ่งปกติเขาจะสวมสูททับเสมอ
ห้องประชุมขนาดเล็ก
พนักงานฝ่ายขายนำเสนอโปรเจคและแคมเปญใหม่ที่ร่วมมือกับทางการตลาดทำโปรโมชั่นประจำไตรมาสสาม ทิวากรนั่งอยู่หัวโต๊ะสายตาจ้องมองจอโปรเจคเตอร์แต่แววตากลับเลื่อนลอยไม่ได้สนใจการเสนอแผนงานตรงหน้า เสียงของผู้จัดการฝ่ายขายที่นำเสนอไม่เข้าหูเขาเลยสักนิด นิ้วแกร่งเคาะลงบนโต๊ะเป็นระยะอย่างเสียมารยาท พนักงานฝ่ายขายและเลขาต่างหันมองเจ้านายสงสัย เมื่อเขาถอนหายใจพนักงานก็สะดุ้งรีบหันกลับไปดูแผนการเสนองานของผู้จัดการที่หน้าห้องประชุม
“คุณกรมีความคิดเห็นว่ายังไงบ้างครับ?” ผู้จัดการนำเสนอเสร็จก็เอ่ยขอความคิดเห็นของทิวากรเช่นทุกครั้ง เขายังนั่งนิ่งไม่ตอบคำถามสายตามองตรงไปที่จอโปรเจคเตอร์ ผู้จัดการและพนักงานมองเจ้านายลุ้น ๆ เพราะหากมีงานตรงไหนแก้ไขหรือที่คิดมายังไม่ดีพอ ฝ่ายขายทุกคนต้องระดมสมองเพื่อสร้างโปรเจคใหม่อีก ยุรีเหลือบมองเจ้านายที่ยังนิ่งจนพนักงานจ้องมองแปลกใจ ยุรีเลยเอื้อมมือไปสะกิดข้อศอกเจ้านายเบา ๆ ทิวากรกระตุกหันไปมองหน้าเลขา
“ว่าไงนะครับ?”
“คุณกรมีความคิดเห็นว่ายังไงบ้างครับ” ผู้จัดการยิ้มแห้งเอ่ยคำถามซ้ำ ทิวากรอึกอักเพราะเขาไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้น
“เอาแผนงานไปไว้ที่ห้องทำงาน ผมพิจารณาอีกที”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอเชิญพสุรายงานเรื่องเป้าของไตรมาสที่สามเลยนะครับ”
“ถามหน่อย ถ้ามีคนเลี้ยงอาหารช่วงพักเที่ยงในที่ทำงานพวกคุณอยากกินอะไร?” คำถามของเจ้านายไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานทำเอาผู้จัดการ พนักงาน เลขาอ้าปากหวองงงวยไปตามกัน
ผ่านไปห้านาที
ทิวากรปิดการประชุมเดินออกจากห้องทันที ยุรีรีบถือแท็บเล็ตวิ่งตามเพื่อแจ้งตารางงานของวันนี้อีกครั้ง
“ตอนบ่ายโมงประชุมกับฝ่ายบัญชีเรื่องเบิกจ่าย และตอนบ่ายสองโมงจะ...”
“ยกเลิกงานของวันนี้ทั้งหมดผมมีธุระด่วน” เสียงทุ้มเน้นหนักก้าวเดินรวดเร็วจนยุรีตามไม่ทันได้แต่รับคำสั่งของเจ้านายให้ยกเลิกงาน ชาวีเดินมาจากฝ่ายบริหารเห็นทิวากรเดินผ่านหน้าไปอย่างรีบร้อนแทบไม่หันมองพี่ชายที่เดินมาอีกทาง
“จะรีบไปไหน?”
“ออกไปธุระครับ” เท้าหนาชะงักหันไปยิ้มให้พี่ชาย
“พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”
“เอาไว้ก่อนได้ไหมครับผมมีนัด”
“ขอแค่ห้านาที พี่จะคุยเรื่องอันนา” ชาวีแทรกขึ้นอยากคุยธุระของเขาให้จบ ทิวากรขมวดคิ้วสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับอันนาถึงต้องรีบคุย................
บริษัทของทิวากร
พนักงานแต่ละแผนกแต่ละชั้นนั่งทำงานกันอย่างขมีขมัน พนาเลขาส่วนตัวของทิวากรโทรแจ้งประชาสัมพันธ์ให้หัวหน้าแผนกทราบถึงเรื่องด่วน ก่อนจะเดินมายังแผนกสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กรที่อยู่ใกล้กับห้องผู้บริหาร
“ทุกคนเที่ยงนี้ไม่ต้องออกไปกินข้าวข้างนอกนะ คุณกรสั่งพิซซ่ามาเลี้ยงพนักงานทุกคน” พนายืนยิ้มกวาดสายตามองพนักงานในแผนกทุกคน
“เลี้ยงเนื่องในโอกาสพิเศษอะไรเหรอคะ?” มายถามแทรกอยากรู้อยากเห็น
“ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ คุณกรพึ่งโทรมาสั่งเมื่อกี้และจะเข้ามาที่นี่ด้วย” พนายกยิ้มเล็กน้อยหันหลังเดินไปแผนกอื่น
“นี่ไงเด็ก ๆ จะได้เห็นคุณกรเป็นบุญตา” นิ่มหันไปบอกน้องนักศึกษาฝึกงานทั้งสามอย่างตื่นเต้น
“อ้าวไหนตารางงานบอกว่าเข้ามาอาทิตย์หน้า พวกเราใครมีงานอะไรที่ต้องให้คุณกรเซ็นก็รีบทำนะจ๊ะ” มายตะโกนบอกเพื่อนร่วมงานแล้วตั้งหน้าตั้งตาเร่งทำงานให้ทิวากรเซ็นเอกสารเพื่อดำเนินการขออนุมัติเรื่องต่าง ๆ ต่อไป
ช่วงบ่าย
ทิวากรมายังบริษัทย่อยเขาเดินผ่านแผนกที่อันนาฝึกงานหางตาเขาเห็นอันนาแต่ไม่ทักทายเพราะไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นอากับหลาน เขาเดินเข้าไปในห้องทำงานแล้วบอกเลขาให้พานักศึกษาฝึกงานมาให้เขารู้จัก พนารีบโทรไปตามนักศึกษาทั้งสามมาที่ห้องทำงานของเจ้าของบริษัททันที
อันนา เบลและบาส เข้ามาในห้องทำงานของทิวากรแล้วยกมือไหว้อ่อนน้อม
“อาอยากย้ำว่าอย่าให้ใครรู้ว่ารู้จักอา และอย่าให้ใครรู้ว่าอันนาเป็นหลาน”
“พวกเราเก็บเป็นความลับสุดยอดแน่นอนครับ” บาสกับเบลอมยิ้มหน้าตาสดใส
“ขอบใจมาก เดี๋ยวเบลกับบาสกลับไปทำงานต่อได้เลยนะ อาขอคุยกับอันนาสักหน่อย” ทิวากรยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บาสกับเบลโน้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องทำงานทันที อันนายืนหน้าง้ำเมื่อเช้ายังงอนเรื่องเมื่อเช้าไม่หาย
“วันหลังให้ป้าพัดทำอาหารกล่องมาให้กินตอนพักเที่ยง จะได้ไม่ต้องลงไปกินที่ร้านอาหารข้างออฟฟิศ” เขาเอนหลังพิงเบาะนั่งท่าทางสบาย ๆ ไม่ต้องวางฟอร์มเหมือนตอนอยู่กับคนอื่น
“ถ้าไม่ไปกับพี่ ๆ จะสนิทกันได้ยังไงคะ”
“ไม่อยากให้สนิทกับใคร โดยเฉพาะคนแผนกมาเก็ตติ้ง” เสียงทุ้มเรียบนิ่งสายตาแน่วแน่ อันนาขมวดคิ้วยกยิ้มอย่างรู้ทัน
“ที่สั่งพิซซ่ามาเลี้ยงเพราะไม่อยากให้อันนาลงไปกินข้าวกับพี่หมอกใช่ไหมคะ..........”
“อันนาโตแล้วจะทำอะไรก็ได้ อาจะไปว่าอะไรล่ะ”
“ค่ะ อันนาว่าจะเปิดใจลองคุยกับพี่หมอกอยู่พอดี” หน้าสวยเชิดขึ้นพูดจาประชดชันลึก ๆ ก็อยากให้อาง้อ
“วันนี้คุณพ่อบอกเรื่องจะส่งอันนาไปเรียนต่อที่อังกฤษนายหมอกคงต้องอีกสักสองปีหรือไม่ก็ไม่สิทธิรอเลยเพราะอันนากำลังจะมีคู่หมั้นเป็นลูกชายของเพื่อนคุณพ่อ” เขาบอกเรื่องที่คุยกับชาวีมาก่อนหน้านี้ให้หลานฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกำลังคิดเรื่องที่ไม่อยากให้เธอหมั้นหมายกับชายอื่น ทางด้านอันนาได้ยินเพียงคำพูดบอกเล่าของอาก็ของขึ้นขมวดคิ้วหน้าเครียดเสียงดังแว้ด ๆ
“เรื่องเรียนต่อเรื่องหมั้นอยากทำอะไรก็ตัดสินใจเอง ไม่ถามอันนาสักคำว่าโอเคไหมทำอย่างกับเป็นเจ้าชีวิตทั้งที่ไม่เคยเห็นว่าเป็นลูก!”
“คุณพ่อเขาหวังดี”
“หวังดีหรืออยากผลักไสให้ไปไกล ๆ กันแน่ ใช่สิอันนาเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครต้องการอยู่แล้ว ขนาดอากรยังเบื่อเลี้ยงอันนาเลย!” เธอมองตัดพ้อน้อยใจที่ตัวเองไม่เคยเป็นที่ต้องการของใครแม้แต่อาที่เธอรักที่สุด
“ไปกันใหญ่แล้ว อาไม่เคยเบื่ออันนา” ทิวากรพยายามพูดอย่างใจเย็นเพราะรู้อยู่แล้วว่าหลานต้องโมโหที่ชาวีมาเจ้ากี้เจ้าการเธอ
“อากรอยากให้อันนาหมั้นและไปเรียนต่างประเทศไหมคะ”
“อาอยากให้ไปเรียนต่อเพื่ออนาคต แต่เรื่องหมั้นให้อันนาตัดสินใจเอง”
“ค่ะ อากรเป็นเจ้าชีวิตของอันนาอยู่แล้ว ถ้าอากรเลือกอันนาก็จะทำทุกอย่างที่อากรต้องการ” แววตาสวยสั่นไหวเป็นอีกครั้งที่เธอถูกผลักไสความเจ็บปวดอ้างว้างซ้ำกำลังคุกคามจิตใจจนอยากร้องไห้เลยรีบหันหลังเดินหนีออกไปจากห้องประชุมทันที ทิวากรมองหลานเดินออกไปแล้วถอนหายใจหนักเขาเองก็ไม่ได้อยากให้เธออยู่ห่างตัวและไม่อยากให้เธอหมั้นหมายเพราะยังทำใจไม่ได้ที่เธอจะเป็นของคนอื่น
สปอยตอนต่อไป
“อากร” หน้าสวยชะงักเหลอหลา เพื่อน ๆ ยกมือไหว้สวัสดีทิวากรแล้วยืนเต้นยกแก้วดื่มเหล้ากันสนุกสนานเพราะไม่รู้ว่าอันนาโกหกเพื่อหนีมาเที่ยวกับพวกเขา
“กลับบ้าน”
“ไม่ค่ะ!”
“อันนาอย่าดื้อ!” เสียงทุ้มแข็งขึ้นออกแรงกระชากข้อมือบางดึงตัวเธอเข้าใกล้
“อากรกลับไปเถอะค่ะ ไม่ต้องมาสนใจคนดื้อเอาแต่ใจอย่างอันนา!” หน้าสวยขึงขังมองจ้องตากับอาต่างคนต่างไม่ยอม เธอสะบัดแขนอย่างหงุดหงิด มือหนาบีบกำข้อมือบางไว้แน่นขึ้นก่อนจะย่อตัวลงจับหลานสาวตัวแสบขึ้นพาดบ่า อันนาหน้าเหวอตัวลอยอยู่บนบ่าแกร่งท่ามกลางสายตาของกลุ่มเพื่อนและนักท่องราตรีต่างอ้าปากค้างงงกันเป็นแถว
