ตอนที่ 3 เล่นกับความรู้สึก
หลายวันผ่านไป
คฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางเมือง
ชาวีรู้เรื่องอันนาบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมเลยโทรตามทิวากรกับอันนามาคุย ทิวากรกับอันนาเดินเข้ามาพร้อมกันในคฤหาสน์หลังใหญ่โอ่โถงหรูหราอลังการ หากเป็นใครก็ใฝ่ฝันอยากอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่มีเครื่องอำนวยทุกสิ่งอย่างหรูหราราวกับวัง แต่นั่นไม่ใช่กับอันนาพื้นที่กว้างใหญ่หรูหรานี้ไม่ทำให้เธอมีความสุขหรืออบอุ่นใจแม้แต่น้อย เพราะที่นี่เคยทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวังอ้างว้างและโดดเดี่ยวจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
“อากร คิดถึงจังเลยค่ะ” ไอรินส่งเสียงสดใสวิ่งปรี่ผ่านหน้าอันนาตรงไปเกาะแขนทิวากรแล้วซบหน้าลงเพื่อออดอ้อน
“ไม่เจอสามเดือนตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะ” ทิวากรอมยิ้มขยี้ผมหลานสาวอย่างเอ็นดู
“ปีนี้ไอรินสิบหกแล้วนะคะ อากรจะให้ของขวัญอะไรดี” ไอรินเงยมองตาปริบ ๆ พร้อมกับรอยยิ้มสดใส อันนาเหล่หางตามองน้องสาวที่เกิดมาเป็นลูกอิจฉาพรากความรักของเธอไปหมดอย่างหมั่นไส้กลอกตาไปมาให้ความเสแสร้งน่ารัก ทำให้คนอื่นมองว่าเป็นน้ำใส ๆ แต่ความจริงคือน้ำกรด
“ไอรินอยากได้อะไร?”
“อยากได้อากร........” ไอรินมองทิวากรตาหวานเยิ้ม หลงรักอาตัวเองเพราะรู้ดีว่าเขาไม่ใช่อาแท้ ๆ ทิวากรนิ่งอึ้งพูดไม่ออก
“พูดอะไรไม่คิด ญาติกันทั้งนั้น” อลันน้องชายคนสุดท้องวัยสิบสี่ปียืนก้มหน้าเล่นเกมในโทรศัพท์แต่แอบเหน็บพี่สาว
“ไม่รู้อะไรก็เงียบปากไป” ไอรินหันขวับเหวี่ยงใส่ อลันทำเป็นไม่ได้ยินเดินไปหาอันนาแล้วยื่นโทรศัพท์ให้ดู
“นี่ไงพี่ ผมอัพเกรดมาสด ๆ ร้อน ๆ”
“โห สุดอ่ะ ต้องลงสนามด้วยแล้ว” อันนามองเกมในมือน้องแล้วอมยิ้ม
“ตามมาเลยพี่” อลันคว้าข้อมืออันนาเดินไปที่ห้องรับแขกเพื่อนั่งเล่นเกมด้วยกัน ทิวากรมองตามหลังอันนากับอลันอย่างอึดอัดที่เดินหนีไปกันเฉย ๆ ไม่ชวนเขาไปด้วยเลยต้องยืนให้ไอรินเกาะแขนเขาแน่นไม่ยอมปล่อยอยู่คนเดียว.....
ช่วงเวลาอาหารเย็น ที่ห้องอาหารโอ่โถงตกแต่งสไตล์ยุโรปเฟอร์นิเจอร์สีครีมมีขอบสีทองล้อมรอบเครื่องใช้หรูหราอย่างที่ปรียาภรรยาของชาวีชื่นชอบ ชาวีนั่งหัวโต๊ะ ปรียากับไอรินนั่งทางฝั่งซ้ายส่วนทิวากรนั่งที่ฝั่งขวามือ
“อันนากับอลันล่ะ” ชาวีขมวดคิ้วไม่ชอบคนไม่ตรงเวลา
“กำลังเดินมาค่ะ” ป้าพิมแม่บ้านเก่าแก่รีบพูดขึ้นพลางหันไปมองข้างหลังเห็นคุณหนูทั้งสองกำลังเดินมาหัวเราะกันสนุกสนาน พอเดินเข้ามาในห้องอาหารเห็นทุกคนนั่งกันครบก็หน้าเจื่อนหุบยิ้มก้มหน้าลงแล้วเดินเข้าไปนั่งบนเก้าถัดจากที่นั่งของทิวากรอย่างสงบเสงี่ยม
“มัวทำอะไร ถึงให้ผู้ใหญ่มานั่งรอ” ปรียาจ้องมองตำหนิการกระทำของลูกทั้งสอง
“ขอโทษค่ะ/ขอโทษครับ” อันนากับอลันรีบขอโทษ รู้ว่าถ้าอ้างโน่นนี่เรื่องนี้ไม่จบ
“เขามัวแต่เล่นเกมไงคะคุณพ่อ” ไอรินยกยิ้มลอยหน้าลอยตาหวังให้พี่น้องถูกพ่อบ่น นั่นก็ได้ผลเสมอเพราะพ่อไม่ชอบให้ลูกเล่นเกม
“เก่งแต่เรื่องไร้สาระกันนะ ทีให้เรียนพิเศษอิดออดตลอด”
“ช่วงคลายเครียดจากการเรียนไงครับ” อลันเหลือบมองเสียงเบา ชาวีส่ายหน้าก่อนจะมองมาทางอันนา
“ข้อเท้าเป็นยังไงบ้าง?”
“เริ่มดีขึ้นแล้วค่ะ” แม้คำถามนั้นจะเหมือนห่วงใยแต่ไม่ทำให้อันนารู้สึกดี
“เห็นไหมกรพี่บอกแล้วว่าอย่าให้หลานเป็นเชียร์ลีดเดอร์เกิดเรื่องจนได้”
“อันนากับทีมลงแข่งหลายรายการสร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยมาหลายปีเพิ่งมาประสบเหตุแค่ครั้งเดียว” ทิวากรพยายามพูดให้เห็นผลงานและเขาเห็นดีด้วยเพราะหลานได้ทำสิ่งที่ชอบแม้จะมีความผิดพลาดไปบ้าง
“สร้างชื่อด้วยการเต้นแร้งเต้นกา หึ” ปรียายิ้มเหยียด ไอรินรีบพูดเหน็บหน้าซื่อตาใส
“อย่างที่คุณแม่เคยบอกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว พ่อแม่พี่อันนาอาจเป็นพวกรักสนุกเต้นกินรำกินถึงได้แพร่เชื้อมาถึงลูก.....”
“ใช่ค่ะลูก คนเราต่อให้เลี้ยงดีแค่ไหนก็เปลี่ยนกำพืดเดิมไม่ได้ ยังดีนะที่ไม่ใจแตกมีลูกตั้งแต่สิบแปดสิบเก้าเหมือนแม่” ปรียากระแหนะกระแหนหันไปยิ้มร้ายเข้าขากันกับลูกสาว
“เคร้ง” ทิวากรมองเคืองโยนช้อนส้อมใส่จานเสียงดัง ทุกคนสะดุ้งหันมอง
“เราคุยกันเรื่องที่จะไม่พูดจากระทบกระเทียบอันนาหลายครั้งแล้วนะครับ น่าแปลกที่คนระดับสูงสติปัญญาดีกลับทำเป็นเลอะเลือนจำที่เคยคุยกันไว้ไม่ได้”
“พี่ก็แค่คุยกับลูก” ปรียาเชิดหน้าไม่แยแส ทิวากรกระตุกยิ้มเอนตัวมาข้างหน้าจ้องมองหน้าพี่สะใภ้อย่างเอาเรื่อง
“ถ้าผมพูดเรื่องที่พี่ยาแต่งงานกับพี่ผมเพราะต้องการเงินร่วมลงทุนกอบกู้ฐานะทางบ้านตัวเองบ้าง พี่ยาจะรู้สึกยังไงครับ”
“กร!” ปรียาหน้าตาขึงขังไม่พอใจที่ถูกพูดถึงอดีต ทิวากรยกยิ้มสะใจได้กระตุ้นต่อมโมโหพี่สะใภ้เหยียดคนอื่นเก่ง
“ผมไม่น่าพาหลานมาให้พวกพี่ทับถม ผมกับหลานคงต้องขอตัวกลับ” เขาคว้ามืออันนาแล้วดึงให้ลุกขึ้นพร้อมกัน อันนารีบลุกพรวดกำลังจะเดินออกจากเก้าอี้
“อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” ชาวีกำมือเงยมองน้องชายที่ดูเหมือนว่าตอนนี้ใครก็คงรั้งเขาไว้ไม่อยู่
“เล่นกับความรู้สึกของคนอื่น คนพูดสนุกปากแต่คนถูกกระทำเขาไม่สนุกด้วยนะครับ” ทิวากรก้มมองพี่ชายแล้วจับข้อมือพาอันนาออกจากสถานที่โอ่โถงแห่งนี้ ภายในห้องอาหารเงียบกริบปรียาขบกรามแน่น ชาวีนั่งเงียบไม่พูดไม่จา ส่วนลูก ๆ ก็นั่งหน้าเจื่อนวันพบญาติดูกร่อยไปในทันที
หลังจากมื้อเย็นแสนอึดอัด
ชาวีกลับเข้าไปในห้องทำงาน ปรียายังเคืองที่น้องสามีเหน็บเธอเลยเดินเข้าไปคุยหาเรื่องกับสามี
“น้องคุณปกป้องอันนาเกินหน้าเกินไป ไม่ใช่แอบกินกันแล้วนะ!”
“พูดบ้าอะไรคุณยา!” ชาวีหันขวับตะคอกกลับทันควัน
“ก็มันน่าคิด กรเป็นลูกติดท้องเมียน้อยของคุณพ่อ ส่วนอันนาก็แค่เด็กกำพร้าที่เราเอามาเลี้ยง สองคนนั้นไม่ใช่อาหลานกันจริง ๆ อีกคนโสดมาหลายปีกับอีกคนกำลังสวยสะพรั่งมันก็ต้องมีสปาร์คกันบ้างแหละ” ปรียาไม่สะทกสะท้านจ้องตาแล้วพ่นคำพูดเหยียบหยามทั้งทิวากรและอันนา
“หยุด! คิดชั่ว ๆ จิตใจของคุณมันหยาบกระด้าง” ชาวีโมโหชี้หน้าภรรยาอย่างเอาเรื่อง
“ใช่สิ ใครมันจะไปดีเหมือนน้องสาวเพื่อนสนิทคุณที่ท้องแล้วเอาลูกไปทิ้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนคุณต้องไปรับมาเลี้ยงเองล่ะ”
“อย่าพาดพิงถึงเนยแล้วออกไปซะ อย่าให้ผมต้องหมดความอดทน” ชาวีขบกรามแน่นจ้องตาเขม็ง ปรียาโมโหหน้าแดงก่ำกำมือข่มความอารมณ์จนตัวเกร็งเจ็บปวด เมื่อนึกถึงตอนที่รู้ว่าอันนาเป็นลูกของชาวีกับเนยที่เป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท ในวันที่นัดดื่มเหล้ากันชาวีขับรถกลับไม่ไหวไปนอนค้างบ้านเพื่อนแล้วพลาดมีอะไรกับน้องสาวเพื่อนเพราะความเมาจนท้องพอคลอดลูกก็เอาไปทิ้งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วหนีไปอยู่ต่างประเทศ ชาวีพยายามตามหาลูกและตื๊อขอให้เนยบอกมาหลายปีจนเนยใจอ่อนยอมบอกว่าลูกอยู่ที่ไหน ชาวีจึงไปรับอันนาลูกของเขามาเลี้ยงและอ้างกับปรียาว่าแต่งงานกันมาหกปียังไม่มีลูกเลยแก้เคล็ดอยากให้มีลูกอิจฉาตอนนั้นเธอโง่เชื่อเขาจึงรับอันนามาเลี้ยงจนเมื่อเด็กโตขึ้นหน้าตาคล้ายกับชาวีมาก ปรียาเลยแอบเก็บเส้นผมของชาวีกับอันนาไปตรวจและพบว่าทั้งสองดีเอ็นเอตรงกันในวันนั้นหัวใจเธอแหลกสลายเสียใจที่ถูกสามีหลอกให้เลี้ยงลูกของเมียน้อย เธอกลับมาต่อว่าสามีว่ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ชาวีจึงยอมรับและเล่าเรื่องราวความผิดพลาดให้ฟัง ปรียาร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดใจเขาทรยศเธอไม่พอยังหลอกให้เธอเลี้ยงอันนามาด้วยความรักและเอ็นดูเหมือนลูกสาวแท้ ๆ แต่เมื่อรู้ความจริงเธอก็รับการกระทำของสามีและแม่เด็กไม่ได้เลยทำให้รังเกียจอันนาตั้งแต่วันนั้นมา................
สปอยตอนต่อไป
“โอ๊ย!” เสียงร้องของเธอทำให้ทิวากรสะดุ้งตื่นผงกหัวหันมองข้างหลังเห็นอันนานั่งหน้านิ่วเอามือจับข้อเท้าเลยรีบลุกขึ้นมาดู
“เป็นอะไร?”
“ทิ้งน้ำหนักเยอะไปหน่อย มันเจ็บแปลบ ๆ”
“อาบอกแล้วให้ระวัง” เขาส่ายหน้าถอนหายใจเบา ๆ แล้วช้อนแขนแกร่งเข้าใต้เรียวขาและช่วงตัวอุ้มสาวน้อยจอมวุ่นของเขาไปนั่งบนโซฟาแล้วเดินไปหยิบยาทาแก้ปวดบวมกลับมาคุกเข่าค่อย ๆ ประคองข้อเท้าเรียวขึ้นมาวางบนหน้าขาแล้วบีบยาทาให้อย่างเบามือ อันนาขมวดคิ้วก้มมองข้อเท้าที่ยังเสียวแปลบ ๆ
“อ่ะห์....” ขาเรียวกระตุกขึ้นเสียงร้องเบา ๆ นั้นทำคนตัวโตชะงักเสียงนั้นกระตุ้นอารมณ์ชายโสดเขาก้มหน้ามองข้อเท้าเล็กไล่ขึ้นไปยังเรียวขาขาวเรื่อย ๆ อันนามองสายตาของเขาเคลื่อนขึ้นมาเรื่อย ๆ หายใจไม่ทั่วท้องกำผ้านวมแน่น สายตาคมยังคงมองขึ้นไปจนถึงขาอ่อนเลือดลมสูบฉีดแรงขึ้นหัวใจเต้นแรงแล้วเผลอลงน้ำหนักมือที่ข้อเท้าเล็ก
“โอ๊ย อากร!” หน้าสวยบิดเบี้ยวดึงข้อเท้าออกห่าง ทิวากรได้สติรีบหลบตามองพื้นเม้มริมฝีปากแน่น
