ep22
“ข้าพระองค์มิคาดคิด ต้องแบ่งรักให้ใคร”
“ปุโรหิต ย่อมรักเจ้า หากส่งเพลงยาวถึงเจ้าทุกค่ำคืนเยี่ยงนั้น”
“พระนางรู้”
“มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นในตำหนักเรา แล้วเราไม่รู้”
“ข้าพระองค์ สมควรตาย”
“หึ หากเราเอาผิดต่อเจ้า เจ้าคงมิยืนชีวิตถึงวันนี้ดอก”
“เป็นพระกรุณา กระหม่อม”
ท้องพระโรงยามนี้ คลาคล่ำด้วยบรรดาเสนา มหาอำมาตย์ ทุกคนทราบข่าวด้วยยินดีว่า พระเจ้าเหนือหัวมีรับสั่งจัดงานมงคลโดยพระราชทานงานแต่งให้กับปุโรหิตคนสนิทของพระองค์
มิเพียงเท่านั้น ยังพระราชทานเมียพระราชทานให้อีกด้วย เหล่าขุนพลที่รออยู่เบื้องนอก เมื่อได้รับข่าวนี้ล้วนยินดีถ้วนทั่ว เพราะปุโรหิต มิเพียงคิดแผนการรบ ดูฤกษ์ยามและทำพิธีกรรมไสยเวทย์เท่านั้น หากแต่เมื่อร่วมรบ เขาจักอยู่เคียงข้างขุนพลรบโดยมิถอย ดังนั้นจึงผูกใจเหล่าเสนา มหาอำมาตย์ ยันไพร่ทาส และนักรบ
“มิคิดเลยว่า ท่านปุโรหิตของเรา จะสละโสดเสียที”
“ข้าก็นึกว่า ท่านจะดำรงพรหมจรรย์เสียแล้ว มีข่าวลือว่า ท่านหลงรักมเหสีของกษัตริย์”
“เอ็งก็ปากเสีย ข่าวลือเช่นนี้ หัวจะกุดเอา”
“ใช่ พระมเหสี เป็นพระสหายและศิษย์ครูเดียวกัน ไปพูดอย่างนี้ เสียหายกันหมด”
“ข้าไม่รู้ ก็เห็นคนเมืองวิเภทะ มันร่ำลืออยู่แต่ไกล ยามเมื่อเจ้าเหนือหัวแลพระมเหสี เสด็จกลับเมืองวิเภทะ เมื่อสร้างภวาลัยแห่งพระศิวะในนามของพระศรีสีขเรศวร พระองค์ทั้งสอง ยังสร้างเทวานุสาวรีย์ยังสวนอุทยานของพระองค์ด้วย ส่วนปุโรหิตเรา รึ โน่นแอบไปสกัดศิวลึงค์ตรงลำห้วยสระตราว มองทั้งเทวานุสาวรีย์และมองทั้งพระศรีศิขเรศวร มิรู้ว่าปุโรหิตจักคิดการใด”
“แต่เอ็งก็เสือกเอาเรื่องลับนี้เข้ามาในพระนคร อย่าแพร่งพรายไป ไม่ใช่เอ็งคนเดียวจะเสียหัว พวกข้าด้วย”
เหล่าทหารเลวที่ล้อมวงร่ำสุรากัน เงียบเสียงลงและเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น ก่อนที่หัวจะหลุดออกจากบ่า ใคร ๆ ก็รู้ว่า พระนางกัมพุชราชเทวีนั้น แม้นางจักมีเมตตาต่อเหล่าบริวารอย่างประมาณมิได้ แลมิทำอันตรายสัตว์ให้เจ็บ แต่เมื่อยามพระนางสังหารศัตรู ตาพระนางมิกะพริบแม้แต่น้อย พระนางจึงมีพระเดช และพระคุณในการปกครองบ้านเมืองเคียงคู่กับพระเจ้าเหนือหัว
งานมงคลได้เริ่มขึ้นในวันคู่ ปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว พิธีของนางพราหมณีกระทำไม่ปะปนกับบุคคลภายนอก นางอยู่อย่างสงบและเจียมตัว ขณะที่เจ้าหญิงนิลกาฬ เชื้อพระวงศ์แห่งเมืองอนินทิตปุระเดิมก่อนจะเปลี่ยนเป็นหริหราลัยนั้น ย่อมต้องมีพิธีการให้สมเกียรติ ยามนี้ มีงานเฉลิมฉลอง นิลกาฬยังศักดิ์ดังเดิมของนาง มิยอมลดลงไปยังวรรณะพราหมณ์แต่อย่างใด นางยินยอมแต่งงาน แต่มิยินยอมในการร่วมชีวิตดุจปกติสามัญของเมียปุโรหิต
“เถอะ สักวันข้าจักตราบทบังคับให้กับวรรณะเมืองเรา แลการแต่งงาน มิให้ใครเอาเยี่ยงอย่างนาง” ปุโรหิต ก่นคำด้วยโกรธแค้นเสียหน้ากับสหายในอดีต ซึ่งยามนี้ เป็นถึงพระเจ้าเหนือหัว
“มิเพียงท่านตราข้อบังคับวรรณะ เท่านั้น แม้คำพูดราชาศัพท์ กษัตริย์ พราหมณ์ ไพร่ ทาส ท่านก็ต้องบัญญัติให้ดี ให้สืบต่อในอนาคต เพราะยามนี้ เอาคล่องปากเข้าว่า ตามความเคยชิน” องค์หริฯ เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่พระองค์ต้องปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงให้อาณาจักรของพระองค์ยิ่งใหญ่ไพศาล มิเพียงแต่เรื่องที่สะเรียแข็งกร้าวจนบุรุษต้องเสียหน้าเยี่ยงนี้
“ชาณหวี สบายดีหรือ ท่านไกวัลย์”
“สบายดี ฝ่าบาท นางดูแลข้า แลบริวารบนเรือนมิบกพร่อง ยามนี้มาช่วยงานแต่งก็เป็นแม่งานในการจัดเตรียมสำรับอาหาร ทั้งคาวและหวาน”
“เป็นสะเรียดียิ่ง”
“มิผิด” ปุโรหิตตอบรับ ในใจครุ่นคิดบางอย่าง
แต่มิทันได้เอ่ย เสียงขบวนของพระมเหสีก็เคลื่อนเข้ามายังงานฉลอง
“ถวายบังคม พระมเหสี”
“ยินดีด้วยนะ ท่านปุโรหิต” พระนางยิ้มเยือน พระนางรู้จากคนของพระนางว่า นิลกาฬแผลงฤทธิ์ มิยอมลงให้วรรณะพราหมณ์ หึ ไม่ใช่เพราะวรรณะหรอกที่ นิลกาฬแผลงฤทธิ์ หากแต่เพราะหึงหวง นางแต่งหลังพราหมณีนั่นต่างหากที่นางแผลงฤทธิ์เอา
“กระไรได้ คนของพระนาง กระด้างกระเดื่องจนญาติของข้าระอา”
“หากปฏิเสธ ก็ได้กระมัง หรือว่าอย่างใด องค์หริฯ”
“มิได้ดอกเจ้า เจิมสมรสแล้ว นางจึงปลดเปลื้องผ้าผ่อนกลับเป็นเชื้อพระวงศ์เหมือนเดิม มิห่มขาวเข้ารีต”
“ก็แค่อาภรณ์ หามีอำนาจต่อจิตใจไม่ เพคะ” พระนางสรวลเบา ๆ นึกภาพออกว่า นิลกาฬจะแผลงฤทธิ์เยี่ยงใดให้กับบรรดาญาติพี่น้องที่อพยพมาจากเมืองมหิธรปุระ
“พระมเหสี คนของพระนาง ยังมิกล่าวคำใดกับข้าเลยแม้แต่คำเดียว เสียงเจื้อยแจ้วของนางผ่านลอยลมมากับบริวารเท่านั้น”
“แล้วท่านจักจัดการเช่นไรเล่า ปุโรหิตสหายเรา”
“หาได้จัดการเช่นใด สะเรียก็เป็นดังนี้ รอเข้าหอก่อนเถิด” ปุโรหิต เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมายมาด
“แล้วท่านก็ยังฉลองอยู่ตรงนี้ มิเข้าหอสักทีเล่า” พระนางยั่วเย้าเล่น เมื่อมองไปยังบริเวณที่ยังประโคมดนตรีสังสรรค์กันอยู่
“ข้ารอรับพรจากฝ่าบาท และองค์มเหสี”
“เราทั้งสองขอให้เจ้าครองเรือนด้วยบุญญาปกป้องแห่งพระศิวะและพระวิษณุ แลจงมีสวัสดิรักษาและปัญญาดุจพระสุรัสวดีกระนั้น”
พราหมณ์หนุ่มก้มลงกราบ เมื่อสิ้นคำอวยพรของหริปรเมศวร ชยวรรมัน และพระนางกัมพุชราชเทวี
“งานของท่านครั้งนี้ มีเหตุให้ท่านต้องขุ่นเคืองใจ ด้วยเราเป็นเหตุ มีสิ่งใดที่ท่านต้องการ เราจักให้ท่าน” พระนางกัมพุชราชเทวีกล่าวด้วยหวังจะให้ปุโรหิตคลายเคือง
“นั่นสิ มีสิ่งใดที่ท่านประสงค์ เราจักให้” หริปรเมศวร ชยวรรมัน กล่าวสำทับ
ปุโรหิต ก้มหน้านิ่ง และทูลกล่าวกับกษัตริย์อย่างเป็นทางการมากขึ้น
“หากข้าพระองค์กราบทูล อย่าได้ถือโกรธในข้าพระองค์”
“ท่านเป็นสหายของเราทั้งคู่ ไยต้องกลัวเรากริ้วโกรธ”
“ข้าพระองค์ ขอถวาย ชาณหวี แด่พระเจ้าเหนือหัว เพื่อเป็นข้ารับใช้ ข้าพระองค์จักได้หมดห่วง พระเจ้าข้า”
