บทที่ 3 ตอนที่ 2
“อ้าวเอพริลมาแล้วเหรอลูก...มาทางนี้สิมารู้จักเพื่อนพ่อก่อน”
เสียงทุ้มของบิดาผู้ให้กำเนิด เรียกให้เธอทิ้งห้วงฝันหวานสำหรับวัยสาว แล้วรีบเดินตรงไปยังกลุ่มเพื่อนของท่าน ทุกคนกำลังมองมายังเธอด้วยสายตาตื่นตะลึง สถานที่จัดงานจริงๆ คือบริเวณสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ที่กว้างขวางและถูกตกแต่งสวยงามด้วยดอกไม้ และแสงไฟหลากสี เธอเดินออกมายืนอยู่ตรงนี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยซ้ำไป เพราะมัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของบรรยากาศ บวกกับความคิดอันหลุดลอยไปชั่วครู่
“คุณสันต์ คุณพนา คุณอรัญครับนี่ลูกสาวของผมเอพริลครับ เจ้าของงานในคืนนี้...”
“สวัสดีค่ะคุณลุง...”
“สวัสดีจ้ะ/สวัสดีจ้ะหนูเอพริล”
หญิงสาวยกมือไหว้ผู้อาวุโสและทุกคนก็รีบยิ้มรับไหว้เธอทันที พร้อมพยักหน้าให้อย่างผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กเมื่อเห็นความสดใสน่ารักนั้นแบบเต็มๆ ตา
“สวย...สวยครับสวยจริงๆ สวยเหมือนแม่ตอนสาวๆ ไม่มีผิดเลย” พนากล่าวชื่นชมบุตรสาวของเพื่อน ในวงการธุรกิจด้วยกัน
“จริงครับ...มิน่าล่ะคุณวงศ์ศาสตร์ถึงได้หวงราวกับไข่ในหิน ที่เคยเจอหลายครั้งก็แค่เห็นหนูเอพริลห่างๆ นะ ได้มาเห็นตรงหน้าแบบนี้ ลุงแทบอยากเป็นหนุ่มอีกสักรอบแล้วสิ” อรัญกล่าวเสริมขึ้นอีกเสียง
กลุ่มผู้ใหญ่ที่อยู่ล้อมรอบบิดาของเธอ คอยแต่จะยกยอปอปั้นถึงรูปลักษณ์ภายนอกของเธอเท่านั้น อรุโณรีย์ยิ้มให้ทุกคนอย่างเสียไม่ได้ จะมีไหมสักคนจะมาเพื่อยินดีกับความสำเร็จ ที่สามารถเรียนจบในระดับปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
หญิงสาวถอนหายใจหงอยๆ มองไปรอบๆ ก็แทบไม่เห็นเพื่อนฝูงร่วมรุ่นเดียวกันมาร่วมงานเลย นั่นเพราะตัวเธอค่อนข้างเป็นเด็กเรียนและถูกดูแลอย่างเข้มงวดมาตลอด จึงมีเพื่อนที่สนิทๆ ด้วยอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ทุกท่านก็ชมกันเกินไปครับ อย่างหนูมิ้งลูกคุณธนาเอง ก็สวยใช่ย่อยที่ไหน มาๆ ครับไปนั่งโต๊ะกันดีกว่าจะได้ไม่เมื่อยจะได้หาอะไรมารองท้องกันด้วยไงครับ”
“ดีครับ...พวกเราไปกันเองก็ได้เกรงใจคุณวงศ์ศาสตร์กับหนูเอพริลจะได้ไปดูแลแขกท่านอื่นๆ บ้าง นี่ก็เห็นเริ่มทยอยกันมามากพอดูแล้วนะครับ”
“อ๋อครับๆ ถ้าอย่างนั้นเชิญทุกคนตามสบายเลยนะครับไม่ต้องเกรงใจคิดเสียว่าคืนนี้ต้องสนุกกันให้เต็มที่นะครับ ฮะๆๆ” วงศ์ศาสตร์ยกแก้วในมือขึ้นดื่มแล้วชูส่งให้บรรดาเพื่อนๆ ซึ่งทุกคนก็ยิ้มให้ก่อนจะแยกย้ายกันไปทักทายแขกคนอื่นๆ ที่รู้จักมักคุ้น
“เอพริล...เป็นอะไรลูกหืม ไม่ร่าเริงเลย”
“อ๋อ...เปล่านี่คะคุณพ่อหนูเหนื่อยค่ะ เราไปดูแลแขกผู้ใหญ่คนอื่นๆ กันดีกว่า จะได้ไม่น่าเกลียดที่มากันตั้งนานแล้วยังไม่เจอเจ้าภาพเสียที” อรุโณรีย์เบี่ยงเบนประเด็นปรับสีหน้าให้ยิ้มสดใสกับผู้เป็นบิดาอีกครั้งก่อนจะเดินจูงมือกันไปต้อนรับแขกเหรื่อคนอื่นๆ
ตลอดเวลาที่ต้องตามบิดาไปพูดคุยทักทายกับคนโน้นคนนี้ หญิงสาวรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง เพราะในงานเลี้ยงฉลองของเธอ ล้วนแล้วแต่มีคุณหญิงคุณนายไฮโซ นักธุรกิจชั้นแนวหน้าของประเทศ หรือไม่ก็พวกดาราละครทีวีซึ่งเธอไม่รู้จักมักคุ้นเลย
เจ้าของวันเกิดสาวลอบถอนหายใจหลายต่อหลายรอบ กว่าจะฝ่าดงสังคมชั้นสูงเหล่านั้นมายืนเงียบๆ คนเดียวตรงริมสระน้ำด้านข้างตัวตึกได้ งานในปีนี้ดูคึกคักและยิ่งใหญ่กว่าปีก่อนๆ หลายเท่าตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนมันไม่ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเธอเลยสักนิด เหมือนกับเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของเหล่าคนในวงการธุรกิจเสียมากกว่า เพื่อนผองก็มีแต่ที่ไม่สนิท ซึ่งส่วนมากมักจะติดสอยห้อยตามบิดามารดาที่ถูกเชิญมาร่วมงานเท่านั้น
อรุโณรีย์ชะเง้อคอคอยมองตรงประตูครั้งแล้วครั้งเล่า รอเพียงว่ากลุ่มแก๊งของเธอจะมาเสียที จะได้พอมีเพื่อนคุยคลายความเหงาได้บ้าง เพราะถ้าเข้าไปในงานอีกก็คงเป็นอะไรที่เดิมๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เธอไม่ถนัดเสียเท่าไหร่
“เอพริลๆ...มายืนอยู่นี่เองพวกเราตามหาแทบแย่แน่ะ”
เสียงดังมาจากข้างหลังทำให้หญิงสาวผู้รอคอยยิ้มออกและรีบหันไปตามเสียงทันที
“เอมี่...เฟื่อง มล ทำไมมาช้ากันจังเรารอตั้งนานแล้วรู้ไหม” เจ้าของงานจับมือเพื่อนแล้วถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ เพื่อนที่เธอตั้งหน้าตั้งตารอมาถึงเสียที
“ก็แวะไปรับมลแล้วรถเสีย...เลยต้องให้คนขับรถที่บ้านเฟื่องมารับแล้วก็พามานี่แหละ ขอโทษทีนะจ๊ะ” เอมี่ หรืออัฉจิมาหญิงสาวหน้าตาหวานยิ้มตอบ มองเพื่อนอย่างสำนึกผิดที่มาสายจนเกินไปทั้งๆ ที่นัดเจอกันตั้งแต่ตอนหัวค่ำ
“ช่างเถอะไม่เป็นไรหรอกว่าแต่พวกเธอปลอดภัยก็ดีแล้วนะ ไปในงานกันดีกว่านะหิวกันรึเปล่า”
“ไม่ค่อยหิวกันหรอกเอพริลแต่ดูของในงานน่าจะอร่อยๆ ทั้งนั้นเลยลองดูหน่อยก็ดีนะ...เออนี่เอพริลแล้วของขวัญพวกนี้จะเอาไปไว้ไหนเนี่ย พวกเราไม่อยากเอาตั้งรวมกับคนอื่นๆ ที่หน้างาน” เฟื่องหรือพรมกนกกล่าวชูกล่องของขวัญในมือให้เจ้าของงานดู แล้วทำหน้ามุ่ยๆ รอคำตอบ
“งั้นเอาขึ้นไปไว้บนห้องเลยก็แล้วกัน ของพวกเธอสามคนต้องพิเศษกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้วจริงไหมล่ะ เดี๋ยวให้เด็กเอาไปก็ได้พวกเธอเจอพ่อเราหรือยัง” พูดจบเธอก็กวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งให้เข้ามาหาเธอ พร้อมทั้งรวบรวมกล่องของขวัญทั้งสามใบให้เด็กคนนั้นเอาไปเก็บ ก่อนจะหันมาสนทนากับเพื่อนฝูงต่อ
“ยังเลยแต่เห็นแล้วล่ะว่าคุณลุงยืนคุยกับเพื่อนๆ ของท่านอยู่ทางโน้น พวกเราเข้ามาก็มัวแต่หาตัวเธอยู่น่ะสิยังไม่ได้เข้าไปไหว้ท่านเลย นี่ๆ เอพริลทำไมงานเธอมีแต่คนใหญ่คนโตทั้งนั้นเลยล่ะ ยังกะงานชุมนุมนักธุรกิจแห่งชาติ เพื่อนๆ ที่รู้จักมีไม่กี่คนเองตอนแรกฉันนึกว่ามาผิดงานซะอีก”
อรุโณรีย์มองกรกมลที่พูดพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ งานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้คำตอบนี้กับเพื่อนอย่างไร เพราะมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แทนที่จะเป็นงานที่มีแต่เด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกับเธอมาร่วมแสดงความยินดี สนุกสนานกันกลับมีแต่ผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม จนเธอแทบกระดิกตัวไม่ได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบิดาของเธอเห็นว่าเธอโตมากพอที่จะเรียนรู้ และทำความคุ้นเคยกับสังคมเหล่านี้เอาไว้บ้าง และกำลังฝึกให้เธอคุ้นเคยกับพวกเขา หลังจากขังเอาไว้แต่ในกรงทองถึงยี่สิบปี
พ่อของหล่อนทั้งหวงและห่วง ไม่เคยพาออกงานสังคมที่ไหนเลย ทั้งๆ ที่เขาก็ไปร่วมสังสรรค์บ่อย หลักๆ นอกจากไปเรียนแล้วเธอก็จะอยู่แต่บ้านหรือถ้าจะไปเที่ยวที่ไหนกับเพื่อนๆ ก็ต้องมีบอดี้การ์ดคุมแจเป็นโขยง ไปกลับต้องตรงต่อเวลาและห้ามค้างคืน ทุกอย่างเป็นกฎเหล็ก แต่เธอก็เข้าใจดีว่าเพราะบิดามีเธอเพียงคนเดียวท่านจึงดูแลยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในชีวิตของท่าน
“วันนี้เราอายุครบยี่สิบน่ะ อีกอย่างปีนี้ก็เรียนจบปริญญาด้วยคุณพ่อท่านคงคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ก็เลยอยากให้เรารู้จักคนใหญ่คนโตเข้าไว้ พวกท่านจะได้เอ็นดูคอยช่วยเหลือแนะนำเวลาต้องทำงานจริงๆ จังๆ ไง” เธออธิบายให้เพื่อนๆ ฟังพอให้เข้าใจกันคร่าวๆ ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินจูงมือเข้าไปในบริเวณลานกว้างที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม
อรุโณรีย์พากลุ่มเพื่อนของเธอไปไหว้บิดาและผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ที่ยืนจิบเครื่องดื่มคุยกันอยู่อย่างถูกคอก่อนจะแยกตัวออกมาหาโน่นนี่รับประทานเที่ยวเดินเล่นเดินคุยกันตามประสา เพื่อรอเวลาเป่าเทียนเค้กวันเกิดของเจ้าของงาน ซึ่งก็คือในช่วงเที่ยงคืนนั่นเอง งานยังคงดำเนินต่อไปแขกเหรื่อก็ทยอยกันมาเรื่อยๆ ทั้งเจ้าของงานและบิดาต่างก็ต้อนรับขับสู้อย่างทั่วถึง และไม่มีขาดตกบกพร่องทั้งอาหารเครื่องดื่มและดนตรีคอยขับกล่อมสร้างบรรยากาศ
