บทที่ 3 ตอนที่ 3
และแล้วในที่สุด ช่วงเวลาสำคัญที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเสียที พิธีกรประจำงานเริ่มต้นด้วยการกล่าวประวัติเล็กๆ น้อยๆ ของหญิงสาว พร้อมทั้งฉายรูปวีดิทัศน์ซึ่งย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนแบเบาะเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนที่บิดาบังเกิดเกล้าผู้ให้ชีวิตและให้ทุกๆ อย่างกับเธอ จะขึ้นไปกล่าวถึงบุตรสาวของตนเองบ้าง ทั้งผู้ที่มาร่วมงานและตัวอรุโณรีย์ซาบซึ้งใจกับทุกคำพูดของวงศ์ศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะถูกถ้อยคำทุกน้ำเสียงนั้นได้กลั่นกรองออกมาจากหัวใจเหล็กของพ่อ ผู้ที่เลี้ยงลูกไปด้วยทำงานหนักไปด้วยตามลำพัง ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยหน่าย หรือท้อถอย และทุกๆ อย่างที่เขาสร้างที่เขาเพียรสะสมมาชั่วชีวิต ก็เพื่อบุตรสาวซึ่งเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขานั่นเอง
จนกระทั่งบิดากล่าวจบ ก็ถึงคิวของเจ้าของงานตัวจริงอย่างอรุโณรีย์จะขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กๆ น้อยและบอกขอบคุณแขกที่มาในงาน เธอก็ทำได้เป็นอย่างดี และบุคคลที่หญิงสาวจะต้องกล่าวถึงด้วยความรู้สึกทั้งหมดของหัวใจที่มี ก็คงหนีไม่พ้นผู้เป็นบิดา แขกเหรื่อที่มาร่วมงานรับรู้ถึงความรักความผูกพันของสองพ่อลูก ต่างปรบมือแสดงความดีใจและยินดีที่เด็กสาวประสบความสำเร็จในชีวิตแม้จะเป็นเพียงก้าวแรกก็ตาม แต่นั่นก็หมายถึงความภูมิใจอย่างที่สุดแล้วของคนเป็นพ่อ
อรุโณรีย์กล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติและบรรดาเพื่อนๆ ของเธอจบเป็นการตบท้าย แล้วเดินลงจากเวทีเล็กๆ มายังด้านล่าง ซึ่งเหล่าพนักงานเสิร์ฟต่างจัดแจงเตรียมเค้กวันเกิดที่ปักเทียนเรียบร้อยแล้ว มาตั้งบนโต๊ะที่ถูกห้อมล้อมด้วยผู้มาร่วมงาน
“คุณวงศ์ศาสตร์งานนี้คุณไม่ได้เชิญคุณทรงภูมิมาด้วยเหรอครับ ผมมาตั้งนานแล้วยังไม่เห็นเลย” เพื่อนในสังคมธุรกิจคนหนึ่งเอ่ยถามวงศ์ศาสตร์ขณะที่กำลังยืนรอเจ้าของงานเดินมาเป่าเทียน เพราะคนที่เอ่ยถึงเป็นคนเด่นดังในวงการ วงศ์ศาสตร์ไม่น่าจะพลาดไม่เชิญ และอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะเสียมารยาทพอที่จะไม่มาด้วย
“เชิญครับเชิญ...แต่เอ น่าจะมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ ครับคุณทรงภูมิถึงยังไม่มา” คนถูกถามกล่าวแฝงความสงสัย ด้วยเพราะทรงภูมินั้นค่อนข้างเป็นบุคคลที่มีความสำคัญในวงการธุรกิจพอสมควรมีหรือที่เขาจะพลาดไม่ชวนมางานสำคัญสำหรับเขาเช่นนี้ และทรงภูมิเองก็หาใช่คนเย่อหยิ่งไม่ ถ้าใครเชิญชวนไปงานที่ไหนๆ ก็ต้องปรากฏตัวให้เจ้าของงานเห็นเสมอ อาจมาช้าบางกลับเร็วบ้างหรือให้คนอื่นมาแทนนำของขวัญมามอบให้ก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ แต่เงียบไปเฉยๆ อย่างเช่นวันนี้ แทบไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยจริงๆ
“นั่นสิครับ ผมเองก็แปลกใจนึกว่าคุณไม่ชวนมาเสียอีก”
“คุณทรงภูมิคงมีธุระด่วนรัดตัวจริงๆ ครับ ช่างเถอะเดี๋ยวคงส่งของขวัญย้อนหลังมาให้ล่ะครับ...เอพริลมาแล้วเรารีบไปยืนด้านหน้ากันดีกว่าครับ...เชิญครับทุกท่าน” วงศ์ศาสตร์เชิญชวนบรรดาเพื่อนฝูงเข้าสู่ใจกลางของงานซึ่งตอนนี้บุตรสาวของตนกำลังเดินเข้ามาถึงบริเวณโต๊ะวางเค้กวันเกิดที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม
“เอาล่ะครับทุกท่านมาร่วมร้องเพลงวันเกิดคุณเอพริลหน่อยครับ...ในปีนี้ นอกจากเธอจะมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ซึ่งก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวบรรลุนิติภาวะแล้ว ยังเป็นปีที่คุณเอพริลเรียนจบระดับปริญญาตรีมาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยครับ...ปรบมือให้กับความเก่งของเธอ แล้วเรามาร่วมร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์กันเลยครับ” เสียงเพลงฉลองวันเกิดระงมทั้งห้องจัดเลี้ยง ทุกคนชื่นมื่นยินดีกับชีวิตอันสดใสของเด็กสาว “ขอโทษครับที่มาสาย...” ทุกคนที่พร้อมใจกันร้องเพลงวันเกิด พร้อมปรบมือเป็นจังหวะ รวมไปถึงวงดนตรีที่เล่นเพลงคลอเบาๆ ต่างก็หยุดชะงักจนทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบและทุกคนก็หันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มลึกนั้นเป็นสายตาเดียวกัน
“ขอโทษครับพอดีผมติดธุระสำคัญ...ผมเป็นตัวแทนคุณทรงภูมินำของขวัญมามอบให้กับคุณหนูอรุโณรีย์เจ้าของวันเกิดครับ...” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวขาวในชุดเสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยสูทลำลองสีเทาเข้ม กางเกงสแลคสีดำ ตรงแผงอกกว้างบึกบึนที่โผล่พ้นคอเสื้อของเขาเผยให้เห็นรอยสักเป็นแนวโค้งตามขอบนิดหน่อย แต่มองไม่ออกว่าคือรูปอะไร เพราะถูกปกปิดเอาไว้เสียส่วนมาก
รูปหน้าของเขาออกไปทางลูกครึ่งอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลรับกับคิ้วสีดำเข้มที่ดกหนา และโก่งได้รูปบ่งบอกถึงสัญชาติว่าไม่ใช่คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นแน่ แนวเคราเขียวครึ้มสั้นๆ ที่ประดับอยู่ตามโครงกรามทำให้เขาดูเข้มและเถื่อนขึ้นในขณะที่เขาสวมชุดสุภาพแบบสบายๆ ทุกอย่างส่งเสริมให้เขาเป็นผู้ชายที่มองแล้วชวนให้หลงใหลอย่างไม่มีที่ติ อีกทั้งริมฝีปากหนาสีชมพูเข้มที่ยิ้มน้อยๆ นั่นก็พาให้หญิงสาวหลายคนในงานต่างมองเคลิ้มไปตามๆ กันเลยทีเดียว ทอเลเมียสยิ้มมุมปากนิดๆ และเดินตรงเข้ามาหาหญิงสาวเจ้าของงาน ซึ่งผู้คนที่อยู่รอบวงต่างก็หลีกทางให้และจ้องมองราวกับถูกสะกด
เขาหล่อ...หล่อมาก ราวกับเทพบุตรจุติ แม้ในงานนี้จะมีลูกครึ่งอยู่หลายคนหรือเป็นคนต่างชาติโดยสมบูรณ์ก็มี แต่ล้วนแล้วเทียบกับชายหนุ่มผู้มาใหม่ไม่ได้เลย ทุกสายตามองตะลึงงันบ้างก็อ้าปากค้างตามๆ กัน ขณะที่ทอเลเมียสเดินเข้ามาถึงตัวสาวเจ้า และส่งกล่องของขวัญใบเล็ก ซึ่งถูกห่อไว้อย่างดีให้เธอ อรุโณรีย์ยื่นมือออกไปรับด้วยความประหม่า...เป็นครั้งแรก ที่เธอรู้สึกอย่างนี้ถึงขนาดต้องกลืนน้ำลายลงคอ และไม่กล้าสบกับดวงตาสีน้ำทะเลนั้น เขากำลังจ้องมองเพื่อสะกดให้เธอละลายเป็นแน่แท้ ถึงได้ไม่ยอมละเลยสายตา
“ขอบ...ขอบคุณมากค่ะ...”
“ผมเพิ่งกลับมาจากสวิส...ไปเห็นของสิ่งนี้เข้าก็เลยเลือกมาเป็นพิเศษเพื่อให้คุณในวันเกิดวันนี้...” ชายหนุ่มกล่าว พร้อมสังเกตดวงหน้าที่ซับเลือดระเรื่อตรงพวงแก้ม เธอสวย...น่ารัก นับได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์ไปเสียทุกอย่างทั้งฐานะ รูปร่างหน้าตา เว้นเสียอย่างเดียวคือเธอเป็นเลือดชั่วก้อนหนึ่ง ที่ถือกำเนิดขึ้นจากคนที่นำหายนะมาสู่ครอบครัวและชีวิตของเขา และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยลโฉมคุณหนูผู้เปรียบดั่งนกน้อยในกรงทอง ของศัตรูตัวฉกาจอย่างวงศ์ศาสตร์ วรวงศ์นุเดช
“สวัสดีครับคุณทอเลเมียส ยินดีต้อนรับนะครับคุณมาได้เวลายัยหนูจะเป่าเค้กพอดีเลย...เชิญครับ...เชิญๆ มาร่วมร้องเพลงกันอีกรอบนะครับเดี๋ยวจะเสียฤกษ์เสียยามกันเปล่าๆ” วงศ์ศาสตร์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับบุตรสาวเอ่ยทักขึ้น เขารู้จักบุรุษหนุ่มคนนี้มาบ้างพอจะรู้ว่าตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งรองประธาน ในบริษัทของทรงภูมิ เป็นชายหนุ่มอนาคตไกลที่น่าจับตามองคนหนึ่ง
“ขอบคุณ...เชิญทุกคนต่อเลยครับขอโทษด้วยพี่ผมขัดจังหวะ” ชายหนุ่มตอบเสียงแข็งดวงตาฉายแววอำมหิต อรุโณรีย์ที่เงยหน้าขึ้นไปมองพอดีต้องขนลุก แต่เพียงเสี้ยววินาที มันก็เปลี่ยนเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสุขุมเช่นเดิม
ทำไมเขาต้องมองบิดาของเธออย่างน่ากลัวแบบนั้นด้วย หรือว่าเธอตาฝาด...ก่อนที่หญิงสาวจะได้คิดอะไรต่อเกี่ยวกับชายหนุ่มแปลกหน้า เสียงเพลงแห่งค่ำคืนในวันคล้ายวันเกิดก็ดังประสานเสียงขึ้นอีกครั้ง เธอจึงกลับหลังหันมามองเค้กก้อนใหญ่ตรงหน้าและยิ้มอย่างมีความสุข...หลงลืมความฉงนเมื่อครู่เสียสนิทใจ การร้องเพลงวันเกิดและเป่าเค้กซึ่งเป็นหัวใจของงานจบลงด้วยดี แขกในงานต่างได้รับเค้กที่ถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ กันอย่างถ้วนหน้า จากนั้นก็แยกย้ายกันไปร่วมสนุกกันต่อ บ้างก็หาอะไรรับประทาน บ้างก็จับกลุ่มคุยกันสังสรรค์เฮฮา บางคนก็เต้นรำกันตามจังหวะเพลงที่บรรเลงขับกล่อมอย่างสนุกสนานและมีหลายคนที่ขอตัวกลับไป
ทอเลเมียสยืนพูดคุยกับพวกนักธุรกิจซึ่งรู้จักมักคุ้น ยังเป็นที่สนใจของใครหลายคนในงาน ด้วยรูปลักษณ์และหน้าที่การงาน ที่ไม่เป็นรองใคร ความโดดเด่นของเขาจึงถูกจับตามองอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะประวัติความเป็นมาที่คลุมเครือเหลือเกิน ต่างก็โจษจันกันไปต่างๆ นาๆ แต่ก็หาใครรู้อย่างถ่องแท้ไม่ เสียงเล่าลือนั้นว่ากันว่าเขาเป็นลูกนอกสมรสของทรงภูมิที่เกิดจากผู้หญิงชาวต่างชาติ เมื่อสิ้นบุญมารดาของชายหนุ่มและภรรยาเอกก็เสียชีวิตไป ทรงภูมิจึงได้นำกลับมาเลี้ยงดูและปกปิดฐานะที่แท้จริง เพราะทรงภูมินั้นให้ความรักความสำคัญกับทอเลเมียสคนนี้ เกินกว่าจะเป็นแค่เด็กที่เก็บมาเลี้ยง บางกระแสที่ว่ากันไปอีกแนวทางหนึ่ง
หรือบ้างก็ว่า...เป็นเด็กที่เกิดจากความผิดพลาดในเครือญาติของทรงภูมิเองนั่นแหละ ถึงได้เอามาเลี้ยงดูปูเสื่อเสียดิบดี หวังฝากผีฝากไข้ให้สืบทอดตำแหน่งเพราะตัวเองนั้น มีแต่บุตรสาวคนเดียว ทอเลเมียสคนนี้ค่อนข้างเก็บตัวในสายตาคนในวงการเดียวกัน เขาไม่เคยร่วมงานในสังคมที่ไหนเลยสักครั้ง นอกจากจะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเขาเท่านั้น การปรากฏตัวของเขาในวันนี้จึงค่อนข้างเป็นที่แปลกใจของใครหลายคนที่รู้จักเขา ในฐานะคนเคยร่วมงาน
เนื่องจากในรอบหลายปีนานๆ ครั้งทอเลเมียสจะมีข่าวกับสาวคนไหนสักทีซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นคุณหนูโฮโซ หรือไม่ก็ดารานางแบบ และมักจะคบหากันได้ไม่นาน เป็นอันถูกชายหนุ่มมีบุคลิกเย็นยะเยือกราวน้ำแข็งขั้วโลกสลัดทิ้ง นับว่าคนคนนี้น่าค้นหาในทุกแง่มุมหนึ่ง
ทางด้านทอเลเมียสที่กำลังเป็นกระแสให้วิพากษ์วิจารณ์นั้นหาได้นึกอยากเหยียบยืนอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว บ้านของเขา...คฤหาสน์ที่แสนรักของแม่เขาที่พ่อเป็นคนสร้างให้ด้วยความรักและน้ำพักน้ำแรงดูเปลี่ยนแปลงไปหมดทุกอย่างไม่เหลือเค้าในความทรงจำอยู่เลย
