บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 บุพผาวสันต์และจันทรา

"โอยหัวใจจะวาย เกือบตายอยู่ก้นสระมรกตเสียแล้ว  ว่าแต่..."

ถึงจะไม่อยากคิดอะไรกับเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ก็อดนึกถึงสัมผัสของขนาดส่วนนูนกลมกลึงในมือที่ชวนให้วุ่นวายใจไม่น้อยไม่ได้

หลิงเซียวขยับมือมาทาบลงเพื่อกะขนาดเทียบกับส่วนอวบนูนบนอกของตัวเองแล้วรู้สึกอิจฉานิดๆ

"โธ่ทำไมข้าถึงมีน้อยเช่นนี้เล่า รูปร่างอย่างข้านี้ยังเรียกว่าเป็นสตรีได้หรือ"

หลิงเซียวแอบหนีออกทางด้านหลังเรือนไผ่เขียวของสระมรกต แล้วแอบหยิบอาภรณ์ของเซียนสตรีแดนหมื่นบุพผามาเปลี่ยนแทนชุดที่เปียก

"เอ๋? หายไปไหนเนี่ย แย่แล้วหรือว่า ตกอยู่ในสระมรกต"

เมื่อสำรวจข้าวของในเสื้อผ้า  ถึงได้รู้ว่าของสำคัญหาย  หลิงเซียวตัดสินใจย้อนกลับไปที่สระมรกตอีกครั้ง  เพื่อตามหา กลีบดอกมู่ตันทองคำ  ที่นางใส่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก

"ไม่มี  อยู่ไหนเนี่ย "

นางเดินหารอบๆ สระ ค่อยๆ คลำหาตรงบริเวณขอบส่วนที่น้ำตื้น เหลือก็แต่ส่วนลึกที่ต้องดำน้ำลงไป"

"เอาไงดีเนี่ยเพิ่งจะเปลี่ยนชุด  จะต้องเปียกอีกแล้วเหรอ เสียดายจัง ชุดนี้สวยซะด้วย"

ตำหนักซือมิ่งอยู่ในแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า อาภรณ์ล้วนเป็นสีขาว จะมีลวดลายก็แค่ปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง ช่างดูเงียบขรึม ผิดกับอาภรณ์ของแดนหมื่นบุพผา ที่เต็มไปด้วยสีสัน ปักลวดลายดอกไม้นานาชนิด

ด้วยความเสียดาย หลิงเซียวเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนอยู่แถวนั้น นางจึงรีบถอดชุดที่สวมอยู่วางกองเอาไว้ข้างสระ  แล้วกระโดดลงไป

การกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่ง ไป่เยี่ยนอิงเอนกายนอนพิงบนกิ่งต้นท้อ กำลังดื่มสุราผลไม้อันเลื่องชื่อของแดนหมื่นบุพผา 

กลิ่นอันหอมหวาน รสชาติละมุนละไมของสุราหมักแดนสวรรค์ช่วยเพิ่มพลังเซียนอย่างดียิ่ง

ซ่างเสิน ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่เห็นหลิงเซียวดำน้ำลงไปเพื่อตามหาของที่ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วอยู่ในมือนาง

"เจ้ากล้วยไม้น้อยนี่ ใจกล้าไม่เบา เพิ่งจะหนีไปได้ แล้วยังกล้ากลับมาอีก เห็นทีของสิ่งนี้คงจะสำคัญไม่น้อย"

เยี่ยนอิงสนใจของสิ่งนี้มาแต่แรกเห็น เพราะสัมผัสได้ถึงพลังของอาวุธเทพจากมัน 

ราชินีเผ่าจิ้งจอกคิดแผนการในใจ นางขยับนิ้วใช้พลังเซียนดึงเอาชุดที่พื้นของหลิงเซียวขึ้นมาไว้ในมือ แล้วลอบดูปฏิกิริยาของกล้วยไม้น้อย

"ไม่ไหวแล้วหายังไงก็หาไม่เจอทำไงดีล่ะ"

หลิงเซียวดำน้ำหาจนหมดแรง ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ จึงว่ายมาที่ขอบสระเพื่อที่จะขึ้นจากน้ำ แต่กลับพบว่าชุดที่วางเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว

"อะไรกันเนี่ย มันหายไปได้อย่างไรกัน "

เมื่อชุดที่วางไว้ไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่ จิตใจก็เริ่มว้าวุ่น นางมองไปรอบๆ เผื่อจะจำจุดที่วางผิดไป แต่เมื่อหาอย่างไรก็ไม่พบ ก็เหลือแค่เหตุผลเดียว

"เสื้อผ้าข้าไม่มีขาจะเดินเองได้อย่างไร หรือว่ามีใครซ่อนอยู่แถวนี้คอยแกล้งข้า ทำไงดีขืนออกจากสระในสภาพนี้เกิดใครมาเห็นเข้าล่ะ"

คิดๆ แล้วอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก จะเรียกใครมาช่วยก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่

"ฮือ ท่านอาจารย์ข้าไม่น่ามานี่เลย นี่มันสวรรค์ลงทัณฑ์ที่ข้าดื้อและขี้เกียจใช่หรือไม่ นี่มันจะโชคร้ายเกินไปแล้วนะ"

กลีบดอกท้อร่วงหล่นจากต้นลงไปในสระมรกต ราวกับหิมะสีชมพูโปรยปรายจากฟ้า

สีสันของกลีบดอกท้อ  งดงามโดดเด่นท่ามกลางหมู่แมกไม้สีเขียวสด ทัศนียภาพนี้ดูตื่นตายิ่งนัก 

กล้วยไม้น้อยกลายร่างเป็นคน และเติบโตในตำหนักฟ้าตั้งแต่เล็ก 500ปี ที่ผ่านมา สถานที่เดียวที่นางรู้จักคือตำหนักซือมิ่ง ที่นั่นมีเพียงต้นแปะก้วยที่มีใบสีเหลืองอร่าม 

นางเงยหน้าขึ้นมองตามกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงมา เส้นผมสีเงินพริ้วไหวตามสายลมที่โชยเอื่อย เฉกเช่นเดียวกับชายชุดแพรไหมเงินม่วง

ดุจดังภาพเขียนของนางฟ้าแห่งแดนสวรรค์ ริมฝีปากกระจับได้รูปนั้น  กำลังดื่มด่ำกับสุราหมักบนต้นท้ออย่างสำราญ 

ไป๋เยี่ยนซ่างสินปรายตาพร้อมส่งยิ้มเย้ายวนมาให้หลิงเซียว ก่อนจะลอยลงมาริมสระน้ำพุตรงหน้า

"ซ..ซ่างเสิน ห..เหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่เล่า"

ซ่างเสินเลิกคิ้วโก่งได้รูปแล้วนั่งลงบนของสระ พลางส่งขวดสุราในมือให้หลิงเซียว

ภูติกล้วยไม้น้อยส่ายหน้าเล็กน้อยไม่กล้ารับ สุราหมักผลไม้เป็นของเซียนชั้นสูง มีหรือภูติน้อยเช่นนางจะกล้าแตะต้อง

"รับไปสิ ข้าให้เจ้าดื่ม เจ้าก็ดื่มสิ คิดปฏิเสธน้ำใจข้างั้นหรือ"

"หามิได้ ข้าน้อยไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ เอิ่ม เวลานี้มันเหมาะสมที่จะร่ำสุรางั้นหรือ"

หลิงเซียวกอดอกใช้สองมือปิดบังปทุมคู่ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่เพราะความอาย พลางหลบสายตาที่มองมาของซ่างเสิน

"อ้อ  ข้าก็ลืมไปว่าเจ้า...  มิได้สวมอาภรณ์  อืม ... เช่นนั้นมิสู้ข้าลงอาบเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่"

"หา ท..ท่าน เอิ่มไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ข้าดื่มข้าดื่ม"

หลิงเซียวรับมาดื่มไปหนึ่งอึกแล้วรีบวางคืน ท่าทีประหม่าของนางนี้ทำให้ไป๋เยี่ยนอิงรู้สึกสนุกไม่น้อย

"หวานรึไม่..."

"ว...หวานเจ้าค่ะ"

เซียนจิ้งจอกเอียงคอมองอย่างพินิจ ดื่มเพียงอึกหนึ่งทำให้แก้มกล้วยไม้น้อยแดงขึ้นมาบ้างแล้ว 

"ร่างจริงเจ้าเป็นกล้วยไม้ดิน แช่น้ำอุ่นนานไปคงไม่ดีต่อร่างกาย เจ้าขึ้นมาก่อนดีหรือไม่ วันนี้ข้ารู้สึกอยากมีเพื่อนคุย เจ้ามาดื่มเป็นเพื่อนข้าที่เรือนไผ่เขียวสิ รุ่งเช้าข้าจะพาเจ้าออกจากแดนหมื่นบุพผาเอง"

คำเชื้อเชิญของไป๋เยี่ยนซ่างเสินนั้นช่างมีค่ายิ่ง น้อยนักที่ซ่างเสินจะคิดสมาคมกับผู้ใด ทั่วทั้งสามภพต่างรู้ว่านางค่อนข้างเอาแต่ใจและรักสันโดษ

"ต..แต่ข้า..."

หลิงเซียวก้มมองเรือนร่างตนเองแล้วยิ้มเจื่อน  ไม่พูดถึงไป๋เยี่ยนก็เกือบลืมไปแล้วว่าอาภรณ์ของหลิงเซียวอยู่ในมือตนเอง เพียงโบกมือ อาภรณ์ก็ปรากฏขึ้นที่ริมสระ

หลิงเซียวเพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกซ่างเสินหยอกเย้าเสียแล้ว เพราะชุดที่ซ่างเสินมอบให้เป็นชุดเดียวกับที่กำลังตามหาเมื่อครู่

"นี่ ข้าไปล่วงเกินท่านตอนไหนเนี่ย มหาเทพ ทำไมท่านถึงเจาะจงแกล้งข้าเช่นนี้ด้วยเล่า"

หลินเซียวหยิบชุดที่ข้างสระ แล้วขึ้นจากน้ำอีกทาง เพื่อจะได้หลบไปสวมชุดให้เรียบร้อย แล้วเดินตามซ่างเสินไปหลังเรือนไผ่เขียว

เซียนกวานลู่ชิง ยกพิณหยกขาวออกจากเรือนไผ่เขียวมาวางที่ศาลาบุพผาวสันต์  บนโต๊ะกลางศาลามีกาสุราที่อุ่นแล้ววางอยู่กับจอกหลิวลี่

นางกำลังคิดจะไปเชิญซ่างเสินพอดี  แต่ทว่านางหันกลับมาพบว่าซ่างเสินกำลังกลับเข้ามายังศาลา และมีผู้ติดตามมาด้วย  จากใบหน้ายิ้มแย้มก็กลายเป็นไม่พึงพอใจทันที

"ไฉนมองข้าเช่นนี้เล่า รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกกระบี่แทงเข้าที่หัวใจยังไงยังงั้นเลย"

ภูติน้อยนึกบ่นในใจ สายตาพิฆาตของลู่ชิงช่างร้ายกาจดุดันยิ่ง ทำเอาดวงใจน้อยๆเริ่มไม่มั่นใจว่าจะเหลือรอดกลับตำหนักสวรรค์ได้สักกี่ส่วนกัน

"ฝ่าบาท  นางมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ เหตุใดนางถึงมากับท่านได้"

ลู่ชิงไต่ถามด้วยความร้อนใจ แต่แทนที่จะได้รับคำตอบ กลับได้รับคำสั่งมาแทน

"ลู่ชิงเจ้าไปนำสุราผลไม้มาให้ข้าอีกสักสองกา จัดของว่างสักสองสามอย่างมาให้ข้าด้วย"

"ต..แต่ว่านาง"

ถึงอยากจะคัดค้านแต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะนางรู้นิสัยของผู้ที่นางติดตามมากว่าหนึ่งหมื่นปีดีกว่าใคร ลู่ชิงได้แต่คำนับแล้วออกไปจัดการทำสิ่งที่ได้รับมอบหมาย

"นั่งลงสิ คิดจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนงั้นหรือ"

หลิงเซียวมัวแต่มองตามหลังเซียนกวานจนลืมนั่งลง ไม่ต้องให้เตือนเป็นครั้งที่สอง นางรีบนั่งลงที่โต๊ะทันที

ซ่างเสินรินเหล้าลงในจอกแล้วส่งให้หลิงเซียว นางรับมาถือไว้แบบเกร็งๆ ไม่กล้าดื่ม  

"เจ้าเล่นพิณเป็นหรือไม่"

"แหะแหะ  ข้าน้อยด้อยความรู้ความสามารถ เรื่องดนตรีนั้น ไม่ถนัดสักนิด"

"งั้นเหรอ งั้นร่ายรำล่ะ เป็นรึไม่"

คำถามนี้หลิงเซียวเอียงคอ กรอกตาขึ้นบนแล้วนึกอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปแบบอ้อมแอ้ม

"ก็พอเป็นนิดเดียวเจ้าค่ะ"

"พอเป็น?"

"เจ้าค่ะ"

ไป๋เยี่ยนยิ้มบางๆ ให้กับหลิงเซียว แต่ดูเหมือนนางจะพยายามกลั้นหัวเราะซะมากกว่า แล้วจู่ๆ ก็ลุกไปนั่งลงตรงที่ลู่ชิงจัดวางพิณเอาไว้

"ข้าเล่นพิณ  เจ้าร่ายรำให้ข้าดูหน่อย"

"ข..ข้าเหรอ"

หลิงเซียงชี้นิ้วที่ตัวเองเหมือนไม่แน่ใจว่าที่ซ่างเสินกล่าวหมายถึงอะไร

ไป๋เยี่ยนมองกลับมาพร้อมกับยักคิ้วโก่งงามนั้น บอกเป็นนัยว่านางเอาจริง

"ต..แต่ข้ารำไม่สวยนะเจ้าคะ ซ่างเสินท่านเป็นคนใจกว้าง ปล่อยข้าไปเถอะนะ เกิดข้ารำไม่ดี ทำท่านเสียอารมณ์เสกข้าไปเป็นก้อนหินข้าก็แย่สิ"

"งั้นเจ้าไม่กลัวว่าปฏิเสธข้าแล้วข้าจะโกรธหรือ"

คำถามนี้ก็น่าคิด กล้วยไม้น้อยยิ้มแห้งๆ ไม่รู้ควรเอาไงดี

ในขณะที่ตัดสินใจอะไรไม่ได้อยู่นั้น ซ่างเสินก็หยิบของบางอย่างออกจากแขนเสื้อ

"หากคืนนี้เจ้าร่ายรำเป็นที่พอใจ ข้าจะให้สิ่งนี้กับเจ้า ว่ายังไง"

"กลีบมู่ตัน! มันไปอยู่กับท่านได้ยังไง"

เยี่ยนอิงโบกมือผ่านเพียงเท่านั้นกลีบมู่ตันก็หายไป นางไม่ยอมตอบคำถามนั้นของหลิงเซียว แต่กลับจรดปลายนิ้วลงบนพิณแล้วเริ่มบรรเลง

หลิงเซียวไม่มีทางเลือกนางยกจอกในมือดื่มรวดเดียว แล้วลุกออกมาที่ลานหน้าศาลา

การร่ายรำของหลิงเซียวไม่ได้แย่อย่างที่นางบอกไป๋เยี่ยนอิง ซ่างเสินเฝ้ามองท่วงท่าอ่อนช้อยนั้นอย่างพึงพอใจ รอยยิ้มที่มีความสุขของนางเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี

ลู่ชิงยกกาสุรามา พร้อมของว่าง หยุดยืนมองจากไกลๆ ก็รู้ว่าผู้เป็นนาย  กำลังพออกพอใจในการร่ายรำของกล้วยไม้น้อยสักเพียงใด

"ฝ่าบาท เหตุใดท่านถึงปฏิบัติต่อภูติน้อยเช่นนี้นะ นางมีดีอะไรกัน"

เซียนกวานมองหลิงเซียวด้วยความรู้สึกริษยาในใจ ตลอดหมื่นปีมานี้ มีเพียงนางที่ได้รับความโปรดปราน ทว่าในตอนนี้ ซ่างเสินกลับโปรดปรานผู้อื่น

"ร่ำสุราใต้แสงจันทรา... ชมบุพผาหลากสีสัน... มีสหายเคียงคู่...ร่วมจอกกัน คือสุขอันเที่ยงแท้แน่นักเอย....."

เสียงเอ่ยบทกลอนอ้อแอ้ เพราะความเมาของหลิงเซียว ทำเอาไป๋เยี่ยนขำขันไม่รู้เบื่อ  ลู่ชิงเห็นแล้วแม้ไม่ชอบใจแต่ก็ต้องยอมรับว่านานแล้วที่ไม่เห็นซ่างเสินมีอารมณ์สุนทรีเช่นนี้

"ข้าไม่เคยฟังบทกลอนของผู้ใดบาดหูเช่นบทกลอนของเจ้ามาก่อน ซือมิ่งอาจารย์ของเจ้า  ได้ชื่อว่าเป็นนักกวีแห่งแดนสวรรค์  หากมาได้ยินเจ้าร่ายกลอนเช่นนี้  คงร่ำไห้เป็นแน่"

ซ่างเสินกล่าวพลางยกกาสุราขึ้นดื่ม  ทว่าไร้เสียงอันใดโต้เถียงกลับมาจากริมฝีปากแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้า หลิงเซียวหลับไปเมื่อใดไม่รู้

"คออ่อนเสียจริง หลับเสียแล้ว นอนตรงนี้คงไม่ดีแน่"

ลู่ชิงมองตามสายตาของผู้เป็นนาย นึกตำหนิในใจว่าหลิงเซียวช่างไร้มารยาท ขาดทั้งความมีเสน่ห์ และความงดงามอย่างสตรีทั่วไป

"ฝ่าบาทเดี๋ยวข้าพานางเข้าไปที่เรือนนอกเองเจ้าค่ะ  ท่านไปพักผ่อนเถิด"

"ไม่จำเป็นหรอกลู่ชิง ข้าจัดการเองได้"

ไป๋เยี่ยนซ่างเสินก้มลงอุ้มหลิงเซียวขึ้นมาแล้วเดินกลับเข้าไปในเรือนไผ่เขียว ทำเอาลู่ชิงถึงกับทำหน้าไม่ถูก

"ฝ่าบาท ฝ่าบาท"

"เจ้ากลับไปนอนซะลู่ชิง"

นอกจากจะไม่หันกลับมายังออกปากไล่เสียอีก เซียนกวานได้แต่ขมวดคิ้วผูกกันเพราะความร้อนใจ

"มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยทำไมท่านถึงกับ..... ฝ่าบาทเยี่ยนอิงของข้า"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel