บทที่ 4: พี่ขอสาบาน...
ความรู้สึกนั้นติดตรึงอยู่ในใจของกลิ่นหอมตลอดทั้งวันราวกับรอยสลักบนเปลือกไม้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนั้นมาก่อน อีกทั้งในฝันยังรู้ด้วยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเจ้าที่โดยไม่มีใครบอก แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงเอาแต่คิดวกวนเรื่องนั้นไม่หยุด อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะข้ามเส้นกลายเป็นความหมกมุ่นแล้ว
ไม่สิ...ความจริงเธอหมกมุ่นมาตั้งนานแล้วมากกว่า เพราะหลังจากนั้น เธอก็พยายามติดต่อกับดนัย แม้ว่ามนตรีจะบอกว่าดนัยไม่ค่อยมีเวลาว่าง แต่ก็ยังตอแยประหนึ่งคนไม่มีมารยาท มนตรีเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้แล้วก็ทำได้แค่เตือน และช่วยคุยกับดนัยให้ก็เท่านั้น ทางฝั่งดนัยเอง เห็นเพื่อนของแฟนหนุ่มเป็นอย่างนี้ก็อดยื่นมือเข้ามายุ่งไม่ได้ อันที่จริงเขาก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งนักหรอก ทว่าเพราะกลิ่นหอมไม่สามารถสื่อสารกับ ‘ใครคนนั้น’ เองได้ เขาเลยต้องเป็นตัวกลางให้
และใช่...ดนัยมีญาณพิเศษที่สามารถติดต่อกับวิญญาณต่างๆ ได้อย่างที่เขาคิด เรียกได้ว่าเป็นของเก่าติดตัวมาตั้งแต่ชาติก่อน เพียงแต่เขาไม่เคยบอกใคร รู้กันในเฉพาะครอบครัวเท่านั้น แม้แต่มนตรีเองยังไม่รู้ละเอียดเลยด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำยังคิดไปอีกว่าเป็นความเชื่อของดนัยเฉยๆ นั่นก็เพราะดนัยไม่อยากให้แฟนหนุ่มของตัวเองคิดว่าตนเป็นบ้า เขาผ่านจุดที่ใครต่อใครตราหน้าเขาว่าบ้ามาแล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะกลับเข้าไปในจุดนั้นอีก
จะทำอะไรต้องมีสติ รู้ ได้ยิน หรือมองเห็นสิ่งใด ล้วนต้องมีสติ...
ดนัยพึงระลึกเอาไว้มั่น ตัวเขาน่ะมีสติแน่นอน แต่ไม่นานนักคนไม่มีสติก็ทักข้อความแชทมาหาเขาจนได้
‘พี่ดนัยคะ’
‘ครับ?’
จากนั้นก็ขึ้นว่า ‘กำลังพิมพ์’ อยู่พักใหญ่ ดนัยพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะพิมพ์อะไร เลยเป็นฝ่ายพิมพ์ตอบกลับไปก่อน
‘จะถามพี่ใช่ไหมว่าจะสื่อสารกับเจ้าที่ที่บ้านยังไง’
กลิ่นหอมถึงกับชะงักงันไปครู่
‘พี่ดนัยรู้?’
‘ในตอนนี้นอกจากเรื่องนี้ หอมสนใจเรื่องอะไรหรือเปล่าล่ะ’
กลิ่นหอมปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืน พอดนัยว่าออกมาอย่างนั้น เธอก็ตอบรับไปอย่างจำนน
‘มีแต่เรื่องนี้ค่ะ’
‘หอมกำลังจะบอกพี่ว่าตอนนี้หอมเชื่อเรื่องเจ้าที่เหรอ’
กลิ่นหอมนิ่งคิดไปครู่ ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้เชื่อหรอก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในฝันมันเหมือนจริงมาก เหมือนเสียจนเธออดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า และนั่นทำให้เธอต้องก้าวข้ามความไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับมาคุยกับดนัย
‘หนูก็ไม่ได้เชื่อหรอกค่ะ แค่อยากรู้’
หญิงสาวว่าไปตามตรง ดนัยก็ถามกลับ
‘อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ’
‘อยากรู้ว่าถ้าเขามีจริง หนูจะติดต่อกับเขาได้ยังไงบ้างคะ’
ไม่ใช่เพียงแค่ก้าวข้ามความไม่เชื่อมา เธอยังจะทำตัวเองให้มีญาณอีกด้วย ความกลัวใดๆ ไม่มีสักนิดเลยหรือ?
ดนัยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่แน่ใจนักว่าควรบอกดีหรือไม่ มันเป็นเรื่องของกรรมคนอื่น ถ้าไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากก้าวล่วงกรรมใครเหมือนกัน เพราะเขาไม่รู้ว่าหากบอกไปแล้ว และกลิ่นหอมสามารถสื่อสารกับ ‘ใครคนนั้น’ ที่เขาสื่อสารได้ มันจะเกิดอะไรขึ้น
ทว่าครั้งนี้คงจะต้องก้าวล่วงแล้ว เพราะจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหูของเขา
‘บอกให้ข้าหน่อย’
“แต่...”
‘เห็นแก่ที่เราเคยเป็นสหายกันแต่ดั้งเดิม’
ได้ยินอย่างนั้น ดนัยก็พูดอะไรไม่ออกราวกับน้ำท่วมปาก
เคยเป็นสหายกันอย่างนั้นหรือ?
พลันภาพความทรงจำบางอย่างก็ผุดพรายขึ้นมาในหัว ดนัยนั่งนิ่งตัวแข็ง ไม่คิดมาก่อนว่าตนจะเคยเป็น ‘สหาย’ ของอีกฝ่ายดั่งที่ว่า
ไม่ใช่กรรมของเขา แต่เขากลับมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้คนทั้งคู่มาพบพาน เห็นทีคงจะเลี่ยงกรรมนี้ไม่ได้เสียแล้ว
‘สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ มีสมาธิแล้วเดี๋ยวก็สื่อได้เอง’
ในที่สุดก็บอกออกไปจนได้ กลิ่นหอมอ่านข้อความแล้วก็เลิกคิ้วสูง
‘แค่นี้เองเหรอคะ’
‘ใช่ แค่นี้แหละ’
แค่นี้แหละ...ความหมายของดนัยมีเท่านี้จริงๆ แต่ใช่ว่าเรื่องนี้จะปฏิบัติกันได้ทุกคน จะต้องมีความอดทนและไม่หลงผิดด้วย ทว่าดูจากหญิงสาวที่คุยกับเขาแล้ว คงจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับเธอแล้วล่ะ
‘แค่นี้หนูทำได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ’
เป็นเรื่องยากมากจริงๆ เสียด้วย ให้เดาได้เลยว่าพอเลิกคุยกัน อีกเดี๋ยวเธอก็จะไปเสิร์ชหาบทสวดมนต์และวิธีทำสมาธิจากบนอินเทอร์เน็ตอีกทีแน่ๆ
ซึ่งก็จริงเสียด้วย เมื่อได้วิธีมา กลิ่นหอมก็จัดการหาบทสวดมนต์มาบันทึกไว้ในโทรศัพท์ เพราะห่างหายจากการเข้าวัดเข้าวาไปหลายปี การสวดมนต์จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอพอๆ กับนั่งสมาธิเลย
ท่าทางตั้งอกตั้งใจของหญิงสาวที่นั่งใช้ปลายนิ้วจิ้มตัวหนังสือบนโทรศัพท์ทำให้ชมพู่ที่ยืนมองอยู่กับเจ้านายของตนถอนหายใจยาวออกมา
‘มนุษย์นี่อยากรู้อยากเห็นมากจริงๆ เลยนะเจ้าคะ’
‘ก็เหมือนเอ็งเมื่อครั้งเป็นมนุษย์นั่นล่ะ เอ็งก็สอดรู้สอดเห็นมิต่างจากนายของเอ็งในชาตินี้’
‘พิโธ่คุณท่าน อีชมพู่เป็นบ่าว เวลาคุณท่านไม่อยู่เรือน มันก็ต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้สิเจ้าคะ’
เจ้าที่หนุ่มไม่เถียงหรอก ชมพู่ก็เป็นทาสในเรือนที่ดี แต่พอมาเป็นบริวารของเทวดาอารักษณ์แล้ว ไฉนถึงได้ปากมากนักก็ไม่รู้ สงสัยคงคิดว่าเฆี่ยนตีไม่ได้แล้วกระมัง มันถึงได้ปากหอยปากปูเช่นนี้
เจ้านายเลิกสนใจบริวารของตน จ้องมองหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการค้นหาอะไรบางอย่างนิ่งๆ และนั่นก็ทำให้ชมพู่ตั้งคำถามขึ้นมาอีก
‘อย่าหาว่าอิฉันละลาบละล้วงเลยนะเจ้าคะ อิฉันมีเรื่องอยากจะถามสักหน่อยน่ะเจ้าค่ะ’
‘เรื่องใด’
‘เมื่อไรคุณท่านจะบอกคุณหนูไปล่ะเจ้าคะว่าคุณท่านเป็นผู้ใด ขุนอริญชร์เพียงสวัสดิ์ ชื่อนี้อิฉันคิดว่าคุณหนูต้องจำได้แน่ๆ บอกผ่านผู้ชายคนนั้นไปสิเจ้าคะ’
‘ขุนอริญชร์เพียงสวัสดิ์’ เหลือบมองเล็กน้อยให้ชมพู่ได้ปิดปาก จากนั้นถึงพูด
‘เรื่องนี้ข้าจะบอกด้วยตัวเอง’
อันที่จริงแล้วกลิ่นหอมก็เหมือนมนุษย์สมัยใหม่ทั่วไปที่อ้างตัวเองว่าไม่มีศาสนา ไม่เคารพบูชาเทพเจ้าใดๆ ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่ามีโลกหลังความตาย เวลามีใครมาแย้งในประเด็นนี้ เธอก็จะเถียงสุดตัวว่าไม่จริง สายวิทยาศาสตร์เกือบจะจ๋าก็ว่าได้ ถ้าไม่มีหลักฐานก็ไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่ก็มีความย้อนแย้งในตัวเองสูง ไม่เชื่อทว่าปากกลับบอกว่าไม่ลบหลู่ มิหนำซ้ำยังกลัวผีถึงขนาดไม่กล้าดูหนังผีคนเดียว
แล้วจะเรียกว่าตัวเองไร้ศาสนาได้อย่างไรกัน!
แต่อย่างไรก็ช่าง เธอไม่สนใจเรื่องที่เคยผ่านมาหรอก ตอนนี้กำลังให้ความสนใจกับเรื่องลี้ลับพิศวงเต็มที่ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิเหรอ ได้เลย! เธอจะทำให้ดู ตอนเด็กๆ ก็ผ่านวิชาพุทธศาสนามาแล้ว ทำไมจะทำไม่ได้กัน!
กลิ่นหอมใช้เวลาทั้งอาทิตย์ในการเริ่มต้นสวดมนต์ไหว้พระและ...นอนสมาธิ
ใช่แล้ว เป็นการนอนสมาธิ เพราะเธอให้เหตุผลกับตัวเองว่าเป็นออฟฟิศซินโดรม นั่งขัดสมาธินานๆ ไม่ได้ นอนเอาดีกว่า เคลิ้มแล้วก็หลับไปเลย
ขุนอริญชร์ที่เฝ้ามองอยู่ทุกวี่วันถึงกับทำหน้าไม่ถูก ขณะที่ชมพู่บ่นกระปอดกระแปดเมื่อเห็นว่าหญิงสาวใกล้จะเคลิ้มหลับหลังจากนอน...อืม นอนสมาธิเสร็จ
ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้หลับ จู่ๆ ร่างบางก็ผุดลุกขึ้นนั่งราวกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมานั่งพนมมือ อธิษฐานจิตเสียอย่างนั้น
“หากเจ้าที่ที่บ้านหลังนี้มีความหลังกับลูกจริงๆ ก็ขอให้มาสื่อกับลูกด้วยเถิด”
ขอแบบไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ยอมละความกลัวไปด้วยความหล่อเหลาของเจ้าที่ อีกอย่างที่สำคัญคือตั้งแต่ที่เธอเริ่มสัมผัสได้บ้างด้วยตัวเอง เธอไม่รู้สึกเลยสักครั้งว่าเจ้าที่บ้านนี้มาทำให้เธอกลัว ยกเว้น...ครั้งแรกที่มาเปิดปิดประตูเล่นน่ะนะ
อธิษฐานเสร็จก็กลับไปนอน ชมพู่ระบายลมหายใจยาว หันไปถามขุนอริญชร์ที่ยืนมองนิ่งๆ
‘คุณท่านจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ’
‘ข้าจะไป’
‘หมายถึงเข้าฝันน่ะหรือเจ้าคะ’
ขุนอริญชร์ไม่ตอบ แต่ชมพู่ไม่เห็นดีด้วยเลย เพราะแม้กลิ่นหอมจะสวดมนต์นั่งสมาธิแล้ว ก็ยังไม่มีสติ มิหนำซ้ำการเอาแต่หมกมุ่นเรื่องเจ้าที่เจ้าทางผีสางเทวดาก็ทำให้เริ่มไม่มีสตางค์แล้วด้วย เพราะเธอใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้เกินเหตุจนงานการเริ่มไม่แตะ
เพราะเหตุผลนี้ ขุนอริญชร์ถึงจำเป็นจะต้องไปเข้าฝันอย่างไรล่ะ
ไปให้รู้ว่าเป็นใคร เกิดอะไรขึ้น เผื่อว่ากลิ่นหอมจะตั้งสติได้และกลับมาสนใจโลกปัจจุบันของตัวเอง
ทว่า...การเข้าฝันกลิ่นหอมในคราวนี้ไม่ง่ายเลย เพราะกลิ่นหอมไม่ยอมหลับ ทำเพียงหลับตาทำสมาธิเท่านั้น ก็อย่างว่า เวลานี้เป็นเวลานอนของเธอเสียที่ไหนกัน ตะวันโด่งโน่นถึงจะนอน ไม่ใช่ตอนกลางคืนอย่างนี้
‘เข้าฝันไม่ได้เลย คุณท่านจะทำอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ’
‘ประเดี๋ยวข้าเข้าไปทางสมาธินี่แหละ’
‘แต่ว่าคุณหนูไม่นิ่ง...’
‘ข้าจะดูเอง’
พูดมาอย่างนี้ บริวารอย่างชมพู่ก็ไม่กล้าเปิดปากสิ่งใดอีก ขุนอริญชร์ใช้เวลาร่วมชั่วโมงเลยทีเดียวกว่าจะเข้าไปในจิตของหญิงสาวได้ ถึงกับต้องใช้อิทธิฤทธิ์กล่อมให้หญิงสาวเคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อให้จิตของเธอนิ่ง ก่อนจะสร้างนิมิตบางอย่างให้เห็น
ภาพชายหนุ่มนั่งคุกเข่าพนมมือต่อหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ณ วัดแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ข้างกันนั้นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่กลิ่นหอมรู้สึกว่าเป็นตัวเอง เพียงแต่เสื้อผ้าที่สวมใส่กลับไม่ใช่เสื้อผ้าในยุคสมัยนี้ สวมใส่สไบและผ้าถุงสีโทนม่วง ใบหน้าเป็นอย่างไรนั้น กลิ่นหอมไม่สนใจหรอก เธอสนใจเพียงคนข้างกายเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าจะพยายามมองอย่างไรก็ไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงแต่ช่วงลำคอลงมาเท่านั้น ฉับพลันความอยากรู้อยากเห็นว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรก็มลายหายไปสิ้นราวกับไม่เคยเกิดมาก่อนเมื่อน้ำเสียงนุ่มทุ้มของเขาดังขึ้น
‘พี่ขอสาบาน...ว่าจะรักและดูแลแม่ซ่อนกลิ่นตลอดไป...’
เพียงเท่านั้น น้ำตามากมายก็พร่วงพรูออกมาจากดวงตา กลิ่นหอมหลุดออกจากภวังค์นิมิตแทบจะในวินาทีนั้น
หญิงสาวนั่งนิ่ง สับสนกับสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน ก่อนหยุดน้ำตาที่ร่วงเผาะจากใบหน้าจะหยดลงใส่หลังมือ
“ร้องไห้?”
ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเพียงประโยคนี้ถึงได้ทำให้เธอเสียใจมากขนาดนั้น พลันปล่อยโฮเสียยกใหญ่ กระทั่งเหนื่อยอ่อน เธอถึงได้หลับไปเอง ขณะที่ขุนอริญชร์ยืนมองหญิงสาวที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนิ่งๆ
‘วันนี้พอเท่านี้’
เขาว่าโดยที่ชมพู่ไม่กล้าพูดอะไรต่อ มันรู้ดีแก่ใจว่าจิตของกลิ่นหอมยังรับไม่ไหว ประโยคที่ขุนอริญชร์พูดออกมาในนิมิต มันไม่ได้มีเพียงเท่านั้น แต่สำหรับวันนี้ สิ่งที่กลิ่นหอมควรรู้เพียงพอแล้ว
