บทที่ 3: ระลึกรัก
อยู่บ้านมีเจ้าที่แรงไม่มีปัญหาสำหรับกลิ่นหอม เพราะนอกจากเธอจะไม่เชื่อแล้ว ยังจะเอาเรื่องไปเขียนเล่าลงโซเชียลส่วนตัวเรื่อยๆ ประหนึ่งว่าเป็นเรื่องตลก ที่น่าตลกกว่านั้นก็คือการทำให้เจ้าที่หนุ่มเข้าฝันเธอไม่ได้
เพราะอะไร?
เพราะเวลานอนของผู้หญิงคนนี้ไม่เคยตรงกันเลยสักวันน่ะสิ!
บ้างก็นอนเช้า บ้างก็สาย บ้างก็บ่ายคล้อยเย็นถึงไปนอน ส่วนตอนกลางคืนก็ตาสว่างโร่ นั่งปั่นงานข้ามคืนราวกับจะสะสมชั่วโมงไม่ได้นอนเอาไว้อวดเพื่อนฟรีแลนซ์ด้วยกัน เล่นเอาทั้งเจ้าที่หนุ่มและบริวารถึงกับปวดขมับไปตามๆ กัน เพราะการที่เจ้าที่หนุ่มจะเข้าฝันนั้น เป็นไปด้วยการตั้งใจจะบอกอะไรบางอย่าง
บางอย่าง...ที่หญิงสาวในชาตินี้ไม่เคยรู้
เธอไม่เคยรู้เลยว่าครั้งแรกที่มาเหยียบยังที่ดินผืนนี้ ใครบางคนที่เฝ้ารอคอยการกลับมาถึงกับตกตะลึงในโชคชะตาที่ลิขิตให้เขาได้วนกลับมาพบกับเธออีกครั้ง
ดั่งคำที่ว่า...กงเกวียนกำเกวียน
‘ชาตินี้คุณหนูใช้ชีวิตอย่างไรกัน เข้าฝันไม่ถูกเลยนะเจ้าคะ’
ชมพู่ บริวารเพียงหนึ่งเดียวของท่านเจ้าที่บ้านหลังนี้ถึงกับออกปากด้วยความรำคาญ แม้ว่าชาติก่อนจะเคยเป็นข้ารับใช้กันมาก่อนกับกลิ่นหอม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเห็นการใช้ชีวิตผิดวันผิดคืนของหญิงสาว หากแต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าที่หนุ่มโอนเอนไปตามความเห็นเลยสักนิด สายตายังคงทอดมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ในบ้านและกำลังอยู่ในความเบลอเต็มที่ เมื่อคืนนี้เธอทำงานโต้รุ่งมา ตอนนี้เข้าบ่าย เธอก็เตรียมตัวจะนอน ส่วนเขา...ก็กำลังรอจังหวะอยู่
จังหวะที่จะได้เข้าฝัน ไปบอกอะไรบางอย่างให้รู้ แต่ทว่า...
“ฮัลโหล มนตี้ ฉันมีเรื่องจะเม้าท์”
...การนอนหลับของหญิงสาวไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะเป็นคนหลับยากแล้ว ยังเป็นคนชอบเมาท์อีก กลิ่นหอมตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิทหลังจากที่ปิดคอมพิวเตอร์เรียบร้อย ที่โทรเพราะมีบางอย่างค้างคาใจ อยากจะเล่าให้จงได้ ไม่เล่าแล้วจะคันปากยุบยิบ ซึ่งอีกฝ่ายที่อยู่ปลายสายก็พอจะรู้ว่าเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่กลิ่นหอมกำลังหมกมุ่นอยู่ในตอนนี้
[ฉันว่าฉันเดาถูกว่าเป็นเรื่องเจ้าที่บ้านของแก]
“เยส”
กลิ่นหอมตอบรับ ทำเอาปลายสายกลอกตาเล็กน้อย
[งั้นว่ามาว่าเรื่องอะไรอีก ฉันให้เวลาแค่ห้านาทีนะยะ เกินกว่านี้โอนเงินมาสักพันนึง แล้วจะยอมคุยด้วย]
“เออ ไม่เกินห้านาทีหรอก”
[แหม พอเป็นเรื่องเงินนี่ไม่ยอมให้กระเด็นเลยนะยะ เอ้า มีอะไรจะพูดก็ว่ามา ฉันอยู่กับเบบี๋ อย่ากวนนาน]
หญิงสาวพยักหน้ารับกับโทรศัพท์พลางกลั้วหัวเราะก่อนเข้าเรื่อง
“จู่ๆ ฉันก็รู้สึกอะไรบางอย่างอะ”
[อะไรยะ]
“รู้สึกว่าฉันกับเจ้าที่ที่บ้านอาจจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องกันน่ะแก”
คำพูดนี้ทำให้ปลายสายถามกลับมาเสียงสูง
[แกจะบอกว่าเป็นเมียว่างั้น? เออ เมียก็เมีย ตามสบ๊าย!]
เสียงนั้นทำเอาคนฟังมุ่ยหน้าเล็กน้อย
“ก็ไม่อยากจะคิดว่าเคยเป็นเมียเจ้าที่หรอกนะ แต่ความรู้สึกมันบอกว่าน่าจะไม่ใช่พี่น้องอะ”
[ฉันว่าแกหมกมุ่นเกินไปหรือเปล่าวะ เอาจริงๆ เจ้าที่มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แกเพ้อเจ้อมากไปแล้ว ฉันเห็นแกตั้งสเตตัสบนเฟซบุ๊กไม่เว้นวันเลยนะ อย่าหมกมุ่นมาก]
กลิ่นหอมยอมรับสารภาพตามตรงเลยว่าช่วงนี้เธอหมกมุ่นกับเรื่องนี้จริงๆ โดยเฉพาะการเขียนเล่าเรื่องนี้บนโลกโซเชียล ทำเอาคนที่ไม่เชื่ออะไรอย่างเธอคิดไปเองต่างๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าว่าเจ้าที่นั้นหล่อทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน และเพราะได้ยินคำด่าของเพื่อนสนิท เธอเลยฉุกคิดชึ้นมาได้
เธออาจจะเพ้อเจ้อมากไปจริงๆ อย่างที่มนตรีว่านั่นแหละ ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าที่ ไม่เคยเจอตัวจังๆ จะรู้ได้ไงว่าหล่อหรือมีตัวตนจริงๆ น่ะ ผีสางไม่มีจริงสักหน่อย
“ฉันก็ว่าอยู่ สงสัยจะเพ้อเจ้อมากไปจริงๆ”
หญิงสาวตอบเสียงยานคาง มนตรีถอนหายใจพรืดออกมา
[เออ เขียนนิยายเยอะก็แบบนี้แหละ แล้วนี่มีอะไรอีกไหม จะเกินห้านาทีแล้ว ถ้าจะคุยต่อ โอนเงินมา]
คราวนี้หญิงสาวพลันก็ได้สติเพราะมนตรีขู่จะเอาเงิน กลิ่นหอมส่งเสียงแหลมขึ้นเล็กน้อย
“ย่ะ! ไม่คุยแล้ว เชิญแกไปสวีตกับพี่ดนัยเถอะ”
หญิงสาวตัดสายไป ก่อนเอนตัวลงนอนบนโซฟาในห้องรับแขกเหมือนเดิมเช่นทุกวัน
กลิ่นหอมนอนกลิ้งไปมาบนโซฟาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักความเหนื่อยล้าก็ทำให้ผล็อยเข้าสู่นิทรา จิตเริ่มนิ่ง จิตใต้สำนึกเริ่มทำงาน ระบายความฝันฟุ้งซ่านต่างๆ ออกมา ทำให้เจ้าที่หนุ่มและบริวารพากันหาช่องทางไปเข้าฝันกันพัลวัน
‘คุณหนูนี่นอกจากจะนอนหลับไม่เป็นเวลาแล้ว ยังจะเพ้อเจ้อมากทีเดียวนะเจ้าคะคุณท่าน’
‘อีชมพู่ ในเมื่อเอ็งรู้เช่นนี้แล้ว หน้าที่ของเอ็งก็คือการหาช่องเข้าไปในฝัน’
นานๆ ทีจะถูกดุ ชมพู่จึงต้องรีบปิดปากให้สนิท เพราะรู้ดีว่าเจ้านายของหล่อนก่อนที่จะกลายมาเป็นรุกขเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง ในอดีตชาตินั้นเป็นคนดุแค่ไหน
‘เอ็งไปเข้าฝันก่อน ประเดี๋ยวข้าจักตามไป’
เจ้าที่หนุ่มวางแผนเสร็จสรรพ เท่านั้นบริวารสาวก็รอจังหวะที่จะทำให้หญิงสาวจดจำความฝันได้
ว่ากันว่ายามที่ใกล้จะตื่น ความฝันใดๆ ในจิตใต้สำนึกตอนนั้นจะถูกจดจำได้ดีกว่าตอนหลับลึก ชมพู่เลยไปเข้าฝันในช่วงนั้นแทน ขณะที่กลิ่นหอมไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด รู้เพียงแต่ว่าจู่ๆ เธอก็ฝันเปลี่ยนเรื่องไปเสียอย่างนั้น หากทว่าความฝันนั้นเป็นความฝันที่เธอจดจำได้
ร่างบอบบางเดินขึ้นไปยังเรือนไทยหลังใหญ่ รอบกายไม่มีใคร มีเพียงแต่ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดโบราณละม้ายคล้ายทาสเดินออกมาต้อนรับ
‘ได้เจอกันสักทีนะเจ้าคะ คุณหนูซ่อนกลิ่น’
กลิ่นหอมเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย “คุณหนูซ่อนกลิ่นเหรอคะ”
งุนงงไม่พอ ยังไม่ได้คำตอบอีก มิหนำซ้ำหญิงแปลกหน้าคนนี้ยังพาเธอไปนั่งยังชานเรือน ยกน้ำยกท่ามาให้ดื่ม กลิ่นหอมก็รับขันน้ำนั้นมากระดกลงคอ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รับไมตรีอย่างนี้ ก่อนที่จะต้องทำตาโตเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเปิดปากอีกครั้ง
‘คุณหนูรู้ไหมเจ้าคะว่าคุณหนูมีคนตามอยู่?’
“ใครเหรอคะ”
‘ใครบางคน...ที่รอคุณหนูมานานแสนนาน’
กลิ่นหอมไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูดสักเท่าไรนัก กระนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่สบตาอีกฝ่ายนิ่ง รอให้ชมพู่เปิดปาก
‘ใครคนนั้น...มีนามว่าขุน...’
เท่านั้นหญิงสาวก็เลิกคิ้วสูง
“ขุนอะไรนะคะ”
‘ขุน...เจ้าค่ะ’
กลิ่นหอมก็ยังไม่ได้ยินอยู่ดี เธอได้ยินแค่คำว่า ‘ขุน’ เท่านั้น ส่วนคำอื่นๆ ฟังไม่รู้เรื่องว่าคืออะไร
“เขาเป็นใครเหรอคะ”
‘เจ้าที่เรือนคุณหนูเจ้าค่ะ’
กลิ่นหอมได้ยินก็กระตือรือร้นขึ้นมาเลยทีเดียว ไม่สนแล้วว่าจะชื่อขุนอะไร
“แล้วเขาเป็น...”
‘เป็นอะไรหรือเจ้าคะ’
พูดยังไม่ทันจบ ชมพู่ก็เผยอยิ้มให้ราวกับขบขันที่ได้เห็นหญิงสาวตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น
“คือหนูจะพูดว่าเขา...หมายถึงเจ้าที่น่ะค่ะ เคยเป็นญาติพี่น้องกับหนูมาก่อนไหมคะ แบบว่าหนูเคยได้ยินว่าคนที่จะมาพบกันอีก จะต้องเป็นคนที่เคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมา”
ไม่รู้ว่าเหตุผลอะไร กลิ่นหอมถึงได้ถามออกไปอย่างนี้ ยอมรับว่าเป็นคำถามที่ค้างคาในจิตใต้สำนึกของเธอโดยที่เธอไม่รู้ตัวอยู่ระยะหนึ่งเลย คงเพราะเหตุนี้กระมัง เธอถึงได้ถามออกไป
‘เหตุนี้คุณหนูจึงคิดว่าท่านขุนเป็นพี่น้องกับคุณหนูอย่างนั้นหรือ?’
หญิงสาวพยักหน้า ชมพู่ก็กะไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น ก่อนนางจะส่ายหน้า ยิ้มระบายพร้อมพูดออกมาอย่างชัดเจน
‘ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ คุณท่านหาได้เป็นพี่น้องกับคุณหนูเจ้าค่ะ’
“เอ๊ะ?”
‘คุณหนูเป็นเมียคุณท่าน’
สิ้นเสียง กลิ่นหอมก็หันหน้าไปมองทางด้านหลังด้วยรู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนมานั่งอยู่ทางนั้น พลันภาพใบหน้าหล่อเหลาคมคายของชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดทหารโบราณสีดำก็ปรากฏขึ้นให้เห็น
เจ้าที่ที่บ้านของเธอรูปหล่อจริงๆ ด้วย!
หากแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจ รอยยิ้มของชายหนุ่มที่ยกขึ้นแต่งแต้มทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ฉับพลันก้อนเนื้อในอกก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงเสียจนวูบไหวอยู่ในอก
คุ้นเคย...
รู้สึกคุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้มาก...
ใจหนึ่งอยากจะพุ่งไปกอดประหนึ่งว่าคิดถึงผู้ชายคนนี้ หากทว่าความรู้สึกที่แท้จริงกลับไม่ได้ดีใจเลยสักนิดที่เห็นหน้าเขา ในจิตลึกๆ กลับมีแต่ความเสียใจ ก่อนที่เธอจะเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่คลอปริ่มโดยไม่รู้ตัว
“พี่มาอยู่อย่างนี้ทำไม”
‘...’
“ทะ...ทำไมยังไม่ไปเกิดอีก”
น้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอขอบตา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ถามออกไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เธอไม่รู้จักคนตรงหน้าแท้ๆ แล้วทำไมถึงได้...
หญิงสาวคิดอะไรต่อไม่ออก ได้แต่ละล่ำละลักร้องไห้ ขณะที่ผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่ยิ้มให้เธอจนกระทั่งเธอเริ่มสงบลงและถามออกมาอีกครั้ง
“พี่...ฮึก...พี่อยู่อย่างนี้มากี่ชาติแล้ว...”
‘เรื่องนี้บอกให้รู้มิได้’
ไม่ได้พูดกับกลิ่นหอม ทว่าพูดกับชมพู่ ย่อมแน่ว่ากลิ่นหอมไม่ได้ยิน ก่อนที่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที หญิงสาวก็รู้สึกตัวตื่น
น้ำตาที่รินไหลจากหางตาเป็นของจริง ความรู้สึกเสียใจมากเหมือนสูญเสียคนรักไปก็ของจริงเหมือนกัน แต่ความฝันที่ฝันถึงเมื่อครู่...เธอไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า บางที...เธออาจจะหมกมุ่นมากเกินไปก็ได้ ถึงได้เก็บเอาไปฝันอย่างนี้
มือขาวนวลเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวนอน เวลาที่ผ่านไปเล็กน้อยทำให้เธอรู้ว่าเธอเพิ่งจะนอนไปไม่ถึงห้าชั่วโมงดีด้วยซ้ำ
งั้นก็ดี ฟ้ายังไม่มืด ถือโอกาสไปนอนตอนกลางคืนเลยแล้วกัน นาฬิกาชีวิตจะได้กลับมาเป็นปกติสักที
คิดแล้วก็ลุกขึ้นจากโซฟาไปล้างหน้าล้างตา หวังจะให้เรื่องความฝันฟุ้งซ่านก่อนหน้านี้บรรเทาลงไปบ้าง เพราะเธอไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้ฝันอย่างนี้ สงสัยคงจะหมกมุ่นมากอย่างที่มนตรีว่าจริงๆ
เจ้าที่หนุ่มมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวจนกระทั่งเธอหายเข้าไปในห้องน้ำ ขณะที่ชมพู่มองเจ้านายของตัวเองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
‘เหตุใดถึงไม่บอกไปล่ะเจ้าคะทำไมคุณท่านไม่ไปเกิด’
‘เรื่องบางอย่างก็ยังบอกไม่ได้ ข้าเลือกที่จะมาอยู่ตรงนี้เอง ข้าก็ต้องยอมรับ’
เจ้าที่หนุ่มไม่ได้ตอบไปในทันที ทำเอาคนฟังมุ่ยหน้า
‘แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกชื่อเสียงเรียงนามนะเจ้าคะ’
ชมพู่ทักท้วงหน้างอ นางขัดใจเล็กน้อยที่ถูกผู้เป็นนายทำให้คำพูดของตนยามบอกชื่อกับกลิ่นหอมลบเลือนไป อันที่จริงแล้ว เรื่องการบอกชื่อนั้น เจ้าที่หนุ่มก็คิดที่จะบอกเหมือนกัน แต่...ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนที่กลิ่นหอมยังสัมผัสเขาไม่ได้เต็มที่
‘ถึงเวลาเมื่อไร ข้าจะบอก’
ได้ยินเท่านี้ ชมพู่ก็ไม่คิดที่จะพูดสิ่งใดอีก ได้แต่ปล่อยให้เจ้านายยืนนิ่งๆ เพียงลำพังเท่านั้น
เขาจะบอก...
จะบอกทั้งหมดที่กลิ่นหอมควรรู้ เพราะเขาเองก็รอหญิงสาวมานานมากแล้ว
นานมาก...มากพอที่จะทำให้เขารู้ว่าการรอคอยมันช่างแสนทรมานและมีค่ามากแค่ไหน หากแต่ในตอนนี้ทำอะไรยังไม่ได้ นอกเสียจากพึมพำกับตัวเองเพียงลำพังเท่านั้น
‘วาระเวียนมาบรรจบเสียที แม่ซ่อนกลิ่นของพี่...’
