บทที่ 3 การตัดสินใจของเด็กสาว
บทที่ 3 การตัดสินใจของเด็กสาว
ตำรวจเห็นแก้วเจ้าจอมกับพลเมืองดียืนอยู่หน้าบ้านพอดีจึงเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน ในสายตาของพ่อแม่บุญธรรมทั้งสองจึงเข้าใจว่าพวกเขากลับมาพร้อมตำรวจ
กรวีเห็นสภาพของแก้วเจ้าจอมไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็ซ่อนเร้นความไม่พอใจไว้แล้ววิ่งเข้ามาหาเด็กสาวพร้อมเสียงร่ำไห้น่าเวทนา
“โธ่จอม หนูเป็นอะไรมั้ยลูก”
อ้อมแขนของกรวีเคยอบอุ่นและน่าปรารถนา ทว่าตอนนี้แก้วเจ้าจอมกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนจนแทบจะอาเจียนออกมา ใบหน้าซีดเผือดของเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่เธอกลับไม่ได้พูดอะไรเลย
“น้องผู้หญิงคงจะตกใจมากน่ะครับ เดี๋ยวจะมีสหวิชาชีพเกี่ยวกับเด็กและเยาชนมาพูดคุยกับเธอ คุณแม่ไม่ต้องตกใจนะครับ” ตำรวจหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม ตอนที่เขาเห็นหน้าไอ้โจรสามคนนั้นก็แทบจะกระโดดถีบยอดหน้าพวกมัน หากไม่ใช่ว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่และกลัวจะถูกร้องเรียนว่าทำเกินหน้าที่น่ะนะ
“ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” สรัชเอ่ยถาม
ตำรวจหนุ่มเหลือบมองพลเมืองดีข้างๆ เมื่อเห็นว่าเขาไหวไหล่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมทันที “ขอเชิญคุณพ่อไปคุยที่อื่นได้มั้ยครับ”
สรัชหน้าเปลี่ยนสี กรวีเองก็ตกใจจนมือสั่น “ทำไมล่ะคะ”
“เรื่องบางเรื่องไม่ควรให้เหยื่อได้รับผลกระทบจากการสอบปากคำนะครับ”
กรวีหันมาพูดกับแก้วเจ้าจอม “แล้วจอมไม่ต้องไปตรวจร่างกายเหรอคะ”
ตำรวจหนุ่มหรี่ตาลง พูดเสียงเบาอย่างอดทน “เธอแค่ถูกทำร้ายร่างกายเฉยๆ ยังไม่ถึงขั้นโดนล่วงละเมิด ค่อยไปตรวจร่างกายหลังจากอาบน้ำก็ได้นี่ครับ”
“อ้อ โอเคค่ะ”
“ทำไมน้าวีทำหน้าเสียดายแบบนั้นล่ะครับ” ชายหนุ่มพลเมืองดีถามเสียงเย็น
กรวีหน้าเสียรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน “ปะ เปล่าซะหน่อย น้าแค่เป็นกังวลว่าน้องจอมจะไม่สบายตรงไหน จอมไปอาบน้ำเถอะลูก”
“…” แก้วเจ้าจอมไม่ตอบ เธอเหลือบมองผู้ชายคนนั้นแวบหนึ่งแล้วเดินขึ้นชั้นสองไปเงียบๆ
เมื่อเธอเข้าไปในห้อง ร่างของเด็กสาวก็ถลาไปที่ห้องน้ำแล้วอาเจียนออกมาจนหมดแรง
ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ยังคงติดตา แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ทำอย่่งอื่นนอกจากลูบคลำไปที่แขนขา แต่มันก็น่าขยะแขยงจนเธอรู้สึกรังเกียจตัวเอง
เมื่อหวนคิด กลิ่นตัวเหม็นสาบ ผสมกับกลิ่นบุหรี่และเหล้าก็พลันคละคลุ้งจนน่าคลื่นเหียน มือสากระคายเหล่านั้นที่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกผิวตุ๊กแกลากผ่านไปตามลำตัวมันทำให้ขนทั้งกายของเธอลุกชูชัน
น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วพลันไหลอาบแก้ม เด็กสาวฉีกเสื้อผ้าของตัวเองออกด้วยความขยะแขยงแล้วแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ พยายามขัดเนื้อตัวจนผิวขาวเกิดรอยแดงไปทั่ว
ใจดวงเล็กสั่นเทาจนแทบอ่อนแรง หากคนคนนั้นไม่ปรากฏตัวและเกิดอะไรแย่ๆ ขึ้น ชีวิตนี้เธอคงเลือกที่จะตายดีกว่าตกนรกทั้งเป็น
บทสนทนาของพ่อแม่บุญธรรม กลิ่นกัลยาและแม่ของหล่อนยังคงก้องกังวานในหูราวกับเปิดเล่นซ้ำ เช่นเดียวกับเสียงหยอกเย้าหัวเราะเยาะของพวกโจรใจทราม
อารมณ์ด้านลบทั้งหมดก็ประดังประเดเข้ามาจนแทบจะหายใจไม่ออก
เธอหลับตาลง แววตาหม่นหมองราวกับแสงเทียนท่ามกลางพายุ พ่อแม่แท้ๆ ของเธอไม่อยู่แล้ว น้าสาวก็ไม่สนใจเธอ แม้กระทั่งพี่ชายที่อยู่ต่างประเทศก็ยุ่งจนไม่มีเวลาโทรหาเธอ
แก้วเจ้าจอมไม่รู้ว่ากฤตฤณทำอะไรนอกเหนือจากการเรียนหรือเปล่า แต่เขามักจะหายไปทั้งสัปดาห์แล้วค่อยโผล่มา บางครั้งก็หายไปเป็นเดือนโดยไม่รู้ข่าวคราว หากไม่ใช่เพราะเขาส่งโปสการ์ดมาให้เธอทุกสัปดาห์ แก้วเจ้าจอมคงคิดว่าพี่ชายคนนี้ลืมเธอไปแล้ว
เด็กสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากนั้นจึงส่งอีเมลหากฤตฤณอย่างเรียบง่าย เธอไม่รู้ว่าเขาจะว่างอ่านเมื่อไร แต่หวังว่าเขาจะได้อ่านมันเร็วๆ นี้
ข้อความในอีเมลเป็นรหัสลับที่สองพี่น้องใช้คุยกันตั้งแต่เด็ก มันประกอบไปด้วยขีดสั้นยาวคล้ายรหัสมอร์ส แต่ก็มีตัวเลขหนึ่งกับศูนย์เป็นองค์ประกอบ คล้ายกับการใช้สัญลักษณ์ซ้ำซ้อนในจดหมาย อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เพราะท้ายที่สุดโลกใบนี้คนในครอบครัวก็มีแค่เธอและเขา
หลังจากส่งอีเมลเสร็จ แก้วเจ้าจอมก็เดินไปที่กรอบรูปติดผนังซึ่งเป็นภาพครอบครัวภาพสุดท้ายที่ถ่ายเมื่อสามสี่ปีก่อน พ่อและแม่ของเธอสวมชุดแต่งงานอีกครั้ง ในขณะที่เธอและพี่ชายยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง เทียร่าเจ้าสาวและเครื่องประดับทั้งหมดที่อยู่ในรูปล้วนแต่เป็นอัญมณีน้ำงามที่พ่อและแม่ออกแบบไว้
แบรนด์ GGems ของพวกเขาสืบทอดมาจากช่างฝีมือในสมัยโบราณ แต่เนื่องจากมรดกวัฒนธรรมเดิมค่อยๆ สูญหาย บางอย่างก็แทบไม่ได้รับการอนุรักษ์ ในรุ่นของคุณปู่ท่านจึงส่งลูกหลานเรียนต่อทางด้านการออกแบบและตั้งบริษัทขึ้นมาอย่างเป็นทางการ
ทว่าน่าเสียดายที่พี่น้องของพ่อทั้งหมดไม่มีใครมีพรสวรรค์ทางด้านนี้เลย แต่ละคนแยกย้ายกันไปตามสถานที่ต่างๆ ตั้งรกรากที่ต่างประเทศบ้าง ต่างจังหวัดบ้างและมีกิจการของตัวเอง
กระนั้นแล้วเนื่องจากพินัยกรรมที่พ่อแม่ทิ้งไว้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนมากเกินไป ลุงป้าน้าอาทั้งหลายจึงไม่อาจสอดมือเข้ามายุ่ง เพราะตอนนี้ GGems ไม่ใช่แค่บริษัทเล็กๆ อีกต่อไป แต่เป็นกลุ่มบริษัทจีเวลรีที่กินส่วนแบ่งตลาดขนาดใหญ่ในเอียเชีย
สำหรับครอบครัวฝั่งแม่ นอกจากน้าสาวที่ทำงานอยู่ต่างจังหวัด แก้วเจ้าจอมไม่เคยเจอญาติคนอื่นๆ เลย และไม่เคยได้ยินแม่พูดถึงญาติคนอื่น ราวกับว่าท่านมีกันแค่สองพี่น้อง
น่าแปลกที่น้าไม่เคยปราดกฏตัวอีกเลยหลังจากที่พ่อแม่บุญธรรมรับอุปการะเธอ
แก้วเจ้าจอมยกกรอบรูปขนาดใหญ่ออกจากผนัง พลันปรากฏแผ่นไม้ที่แนบสนิทไปกับพื้นผิวราวกับถูกประดับตกแต่งไว้เพื่อความสวยงาม เด็กสาวกดมือเบาๆ
แกร็ก!
แผ่นแม้เด้งออก เผยให้เห็นตู้เซฟขนาดเล็กด้านใน เธอกดรหัสผ่านที่จำได้ขึ้นใจ
กริ๊ก!
ด้านในเป็นเอกสารสำคัญและบัตรธนาคารรวมถึงสมุดบัญชีและเงินสดปึกใหญ่ เธอหยิบแค่เอกสารสำคัญส่วนตัว เงินและบัตรออกมา ที่เหลือเก็บไว้ตามเดิมเพื่อความปบอดภัย
ตั้งแต่อายุหกขวบ พ่อแม่ก็เริ่มสอนให้เธอจำตัวเลขชุดหนึ่งที่ไม่มีความหมาย นั่นก็คือรหัสตู้เซฟในห้องของเธอเอง ขณะที่ของพี่ชายก็จะมีรหัสและตู้เซฟอีกชุดในห้องของเขา พวกท่านบอกกับทั้งสองเพียงว่า คนทุกคนมีความลับ ไม่จำเป็นต้องบอกกันทุกเรื่อง เมื่อไรก็ตามที่มีคนรู้มากกว่าหนึ่ง นั่นหมายถึงสิ่งนั้นจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามแก้วเจ้าจอมไม่ได้เข้าใจคำพูดเหล่านี้นัก แต่เธอก็ยังจำคำพูดของพ่อและแม่เสมอมา
นับตั้งแต่ที่รู้ว่าพ่อแม่บุญธรรมไม่ได้หวังดีกับเธอ เด็กสาวก็ตัดสินใจว่าเธอจะออกจากบ้านหลังนี้เพื่อตั้งหลักสักพัก
เธอรู้ว่ามันอาจจะเป็นความคิดที่โง่เขลา เธอไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกต่อไป แม้กระทั่งคนคนนั้นที่เพิ่งช่วยชีวิตเธอกลับมา
กระนั้นแล้วหัวใจของเด็กสาวก็ยังเอนเอียงไปหาญาติของตัวเองมากกว่า
เธอตัดสินใจไปหาน้าสาวที่ต่างจังหวัด
เพราะคำพูดก่อนที่น้าสาวจะขสดการติดต่อไปนั้นทำให้เธอเพิ่งฉุกใจคิด
“จำไว้นะว่าแม้พินัยกรรมของพ่อแม่จอมจะเป็นยังไง น้าไม่ได้เสียใจหรือเกลียดจอมเลย แม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น จอมนางและจอมพลก็คือญาติที่น้าเหลืออยู่ ถึงใครจะพูดอะไร จอมต้องมีวิจารณญาณของตัวเองนะลูก วันไหนที่จอมคิดตก ให้มาหาน้า น้าจะอยู่ตรงนี้เสมอ”
แต่ใครจะรู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้…จะเปลี่ยนชีวิตและเส้นทางของเธอไปตลอดกาล
