บทที่ 2 แม้ว่าโลกนี้จะไม่มีใคร
บทที่ 2 แม้ว่าโลกนี้จะไม่มีใคร
ยามโพล้เพล้หลังอาทิตย์อัสดง บ้านหลังใหญ่เปิดไฟสลัวรางราวกับไม่มีคนอยู่
ชายหนุ่มเดินนำเธอเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไร แม้ว่าปกติเขาจะพูดจาไม่น่าฟังและชอบแกล้งเธออยู่เสมอ แต่ในสายตาของเธอตอนนี้ แผ่นหลังของเขายืดตรง คล้ายตั้งตระหง่านราวกับขุนเขาที่มั่นคง
กลายเป็นว่าเมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤต คนคนนี้กลับเป็นคนที่เธอสามารถพึ่งพาได้
นัยน์ตาบวมช้ำมองคฤหาสน์หลังใหญ่ตรงหน้า เดิมทีนี่เป็นบ้านเก่าที่สืบทอดมาจากต้นตระกูลฝั่งพ่อของแก้วเจ้าจอม แต่หลังจากพ่อแม่ของเธอหายสาบสูญไปพร้อมกับเรือสำราญในทะเลเมื่อสี่ปีก่อน พ่อแม่บุญธรรมก็เข้ามาพักอาศัยและรับช่วงต่อดูแลเธอกับพี่ชาย
กฤตฤณ หรือ จอมพล พี่ชายที่อายุห่างกับเธอสามปีกำลังเรียนต่อปริญญาตรีในประเทศสหรัฐอเมริกา แก้วเจ้าจอมจึงเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในครอบครัว เพื่อนสนิทของพ่อแม่และหนึ่งในหุ้นส่วนของ GGems Group รับหน้าที่เป็นพ่อแม่เนื่องจากญาติพี่น้องคนอื่นล้วนอยู่ห่างไกลและไม่สะดวก
แก้วเจ้าจอมใช้ชีวิตในวัยเรียนอย่างคุ้มค่า เธอร่วมกิจกรรมทุกอย่างของโรงเรียนและทำได้ดีมากทั้งวิชาการและกิจกรรมนอกเวลา แต่เพราะความหมกมุ่นกับสิ่งที่ชอบมากจนเกินไป เพื่อนสนิทของเธอจึงมีเพียงกลิ่นกัลยา หรือ แก้ว เพื่อนคนเดียวกับที่เธอไปหาที่บ้านหลังเลิกเรียนวันนี้
ขณะที่สองร่างกำลังก้าวไปที่หน้าประตู เสียงพูดคุยของคนสามสี่คนก็ดังขึ้นแผ่วเบา
“เด็กคนนั้นหนีออกมาได้ เราจะทำยังไงดี”
เสียงกังวลนั้นเป็นเสียงของแม่บุญธรรม กรวี สถิตพิพัฒน์
“ไม่ต้องทำอะไร ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปซะ พวกเธอสามคนนั่นแหละ ตอนนี้มันยังไม่ใช่โอกาสที่ดี”
เสียงห้วนที่ดังออกมาแตกต่างจากยามปกติของเขาโดยสิ้นเชิง หัวใจของแก้วเจ้าจอมแทบจะหยุดเต้น เพราะเขาก็คือพ่อบุญธรรม เพื่อนที่สนิทที่สุดของพ่อ สรัช สถิตพิพัฒน์
“แต่ว่าเรารอมาสามปีแล้วนะ ฉันกลัวว่าถ้าพี่ของมันกลับมาแล้วเรื่องที่เราทำมันจะยากขึ้น ถึงยังไงบ้านหลังนี้ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นชื่อของเด็กนั่น”
“ฉันบอกแล้วว่าอย่าใจร้อน ทำไมเธอไม่ฟังล่ะ ตอนนี้แผนพังแล้ว โชคดีที่คนพวกนั้นไม่รู้ว่านายจ้างเป็นใคร ไม่อย่างนั้นเราคงโดนสาวถึงตัวได้ง่ายๆ อย่าลืมว่าทนายคนนั้นฉลาดขนาดไหน”
“ฉันรู้ๆ แต่จะให้ฉันปั้นสีหน้ายังไงล่ะ”
“เธอทำได้ดีตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ทำอีกหน่อยจะเป็นไรไป”
ชายหนุ่มหันกลับมามองแก้วเจ้าจอมด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเด็กสาวหน้าเผือดสีตัวแข็งทื่อ เขาก็บีบไหล่เธอเบาๆ แล้วดึงแขนเธอหลบเข้ามุมเพื่อฟังในสิ่งที่พวกเขากำลังพูด เนื่องจากทั้งคู่รู้จักบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงหาเหลี่ยมมุมเพื่อดูสถานการณ์ด้านใน
ความเสียใจระคนกรุ่นโกรธส่งผลให้เลือดในกายของแก้วเจ้าจอมเดือดพล่าน แต่เพราะเธอเคยชินกับการเก็บอารมณ์มาตั้งแต่ตอนที่สูญเสียพ่อแม่ ความคิดของเธอจึงไม่เหมือนกับเด็กวัยสิบเจ็ดอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เธอมองเห็นว่าคนที่อยู่ด้านในยังมีกลิ่นกัลยาและแม่ของเจ้าหล่อน ซึ่งแม่ของกลิ่นกัลยาก็คือเพื่อนรักของกรวีที่มักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ
มือของเด็กสาวเย็นเฉียบ น้ำตาหลั่งออกมาอย่างเงียบงัน เมื่อเทียบกับเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ยามนี้หัวใจของเธอกลับแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
แม่ของเพื่อนรักกำลังพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “อีเด็กนั่นรอดตัวไปได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแคล้วคลาดปลอดภัย ตราบใดที่พี่ชายมันยังไม่กลับมา มันจะเอาตัวรอดได้สักกี่น้ำเชียว”
“แม่ แต่ทำแบบนี้มันจะดีเหรอ น้าวี หนูไม่ค่อยสบายใจ” แก้วกัลยาพูดอย่างเป็นกังวล
คำพูดนั้นทำให้นัยน์ตาที่แตกสลายของแก้วเจ้าจอมกลับมามีประกาย
ทว่ามันก็เพียงแวบเดียวเพียงเพราะคำพูดต่อมาของเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจที่สุด
“แต่คิดดูอีกทีถ้าจอมหายไป หนูก็จะเป็นที่หนึ่งใช่มั้ยคะ” เด็กสาววัยสิบเจ็ดปีพูดประโยคนี้ด้วยสายตาเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
แก้วเจ้าจอมแทบจะไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
กรวียิ้มเอ็นดู “แน่นอนสิ ถ้าเด็กนั่นหายตัวไป น้าจะทำให้หนูเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในสังคมระดับสูงของพวกเรา”
ดวงตาของกลิ่นกัลยาเป็นประกาย “มะ...หมายความว่ายังไงคะ”
“หนูหน้าคล้ายกับเด็กนั่นนิดหน่อย ก่อนที่มันจะอายุครบยี่สิบห้า ไม่มีใครแยกออกหรอกว่าโตมาจะหน้าตาเป็นยังไง ถ้ามันหายไปจริงๆ น้าจะทำให้หนูกลายเป็นแก้วเจ้าจอมที่สมบูรณ์แบบ”
“มันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอวี” แม่ของกลิ่นกัลยาท้วง
“กลัวอะไรล่ะ อย่าลืมว่ายุคนี้มีสิ่งที่เรียกว่าศัลยกรรม เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” สรัชเอ่ยขึ้นเสียงเย็น
“แต่ว่าตอนนี้มันหนีรอดไปได้ อีกไม่นานก็คงกลับมาที่บ้าน”
“เอาละ พวกฉันกลับก่อนดีกว่านะวี ประเดี๋ยวคนอื่นจะสงสัย” แม่ของกลิ่นกัลยาเริ่มลนลาน
เวลาต่อมาเสียงไซเรนก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
สีหน้าของคนทั้งสี่เปลี่ยนไป สรัชหันไปพูดกับสองแม่ลูก “พวกเธอออกทางประตูหลังบ้าน มีทางลับออกจากรั้วบ้าน เร็วเข้า!”
ทั้งสองตะลีตะลานเก็บของวิ่งออกไปทางด้านหลัง อาศัยที่ว่าบ้านหลังนี้จ้างแม่บ้านแบบไปเช้าเย็นกลับ จึงไม่มีใครสนใจว่าจะมีใครเข้ามาในบ้านหรือไม่ อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวทั้งหมดของทุกคนตกอยู่ภายใต้สายตาของเด็กสาวและชายหนุ่มที่แอบด้านนอก
เขาเห็นความเศร้าหมองในแววตาของเด็กสาว สุดท้ายก็ถามด้วยความเป็นห่วง “เธอไหวหรือเปล่า?”
แน่นอนว่าไม่ไหว...
แต่ตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออก สมองตื้อตันราวกับถูกค้อนปอนด์ทุบจนมึนงงไปหมด ความเสียใจเปรียบเสมือนแรงกดดันใต้ทะเลลึก แม้จะตะเกียกตะกายก็แทบไม่สามารถพาตัวเองขึ้นสู่แสงสว่างได้
ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “เราออกไปรอตำรวจหน้าบ้านกันเถอะ อย่างน้อยให้พวกเขาเข้ามาพร้อมกับพวกเรา”
เด็กสาวพยักหน้า ข้อมือพลันถูกเขากึ่งลากกึ่งจูงเดินไปที่รั้วบ้านอย่างรวดเร็ว
แก้วเจ้าจอมมองมือแกร่งที่ขับข้อมือของเธอหลวมๆ ด้วยความรู้สึกมึนงง แต่กระนั้นร่างกายของเธอก็วิ่งตามเขาไปโดยสัญชาตญาณ
นอกจากพี่ชายที่อยู่ต่างประเทศ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอใกล้ชิดกับผู้ชายขนาดนี้โดยไม่รู้สึกอึดอัด มันไม่ใช่ความรู้สึกระหว่างชายหญิงแต่อย่างใด กลับกันแล้วก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่แทบจะไม่ญาติดีกันด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้...เขากลับให้ความรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
แก้วเจ้าจอมเม้มริมฝีปาก สัญญากับตัวเองว่าหากมีโอกาสในอนาคต เธอจะตอบแทนน้ำใจครั้งนี้ของเขาเป็นอย่างดี
เพราะเรื่องเสียงอันตรายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าใครจะกล้าเสี่ยงชีวิตในช่วงวิกฤต น้ำใจครั้งนี้มีค่ากับเธอมากกว่าสิ่งใดในชีวิต
“นี่” จู่ๆ เขาก็หยุดเดินแล้วหันกลับมามองใบหน้ามอมแมมของเด็กสาว
“มีอะไร” ความสงสัยผุดขึ้นในใจ
“แม้ว่าโลกนี้จะไม่มีใคร แต่อย่าลืมว่าเธอยังมีฉันนะ”
แก้วเจ้าจอมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ “พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”
เขากลอกตา “ถ้าเธอเป็นอะไรไป แล้วฉันจะดึงเปียใครเล่นล่ะ”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปากได้รูป เต็มไปด้วยความขบขันที่เสแสร้ง
ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าเขากำลังปลอบใจเธออยู่ “ประสาท”
