ตอนที่ 8
ภิกษุชราปลดมุ้งลงเพื่อเป็นฉากกั้นระหว่างพระนางและตัวท่าน ชาวเมือง ณ ที่แห่งนั้นต่างพากันก้มมองพื้นพระธรณี มิมีผู้ใดเงยหน้าขึ้นมองพระนาง เว้นแต่บุษราแต่เพียงผู้เดียว
พระนางนารินทร์นรีเองนั้นทรงผินพระวรกายหันพระปฤษฎางค์ให้แก่ภิกษุชรา พระหัตถ์บอบบางสะบัดพริ้วข้างพระวรกายปรากฏเป็นผ้าแพรพรรณมากมายเรียงตัวกันล้อมรอบพระนางและบุษราไว้ เสมือนเป็นพลับพลาที่ประทับขนาดย่อม พลางทรงปลดสไบพันพระวรกายเผยให้เห็นพระถันที่อุดมไปด้วยพระกษิรธารา เนื่องจากพระนางนั้นทรงมีพระโอรสพระชันษาได้ประมาณ 3 เดือนเศษ พระกุมารน้อยโอบรัดปลายพระถันและดูดดื่มพระกษิรธาราจากพระมาตุจฉา นิ้วพระหัตถ์กลมป้อมนั้นวางพาดบนพระถันอย่างโหยหาความอบอุ่น พระนางนารินทร์นรีอดที่จะกันแสงอีกครั้งมิได้ให้นึกเวทนาพระนัดดาน้อยเหลือทน พระราชดำริในพระทัย “เหตุอันใดหนอ..ปทุมมาวดีจึงปล่อยโอรสน้อยให้ระหกระเหินถึงเพียงนี้” ความเศร้าเสียใจที่สัมผัสได้นั้นสร้างความประหวั่นในพระหฤทัยพระนางยิ่งนัก
“เจ้าอยู่ดีมีสุขดีรึ!.. ปทุมมาวดี.. พี่ให้ห่วงเจ้ายิ่งนัก”
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ พงพญารู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก เพราะคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงเจ้าเด็กน้อยนั้นร้องไห้จ้าด้วยมิรู้ว่ากำลังดื่มกินน้ำนมจากนางนาคนคราเพราะเป็นไปไม่ได้ที่เด็กชายชาวมนุษย์จะสามารถดื่มกินน้ำนมจากนางนาคีได้ ขึ้นชื่อว่านาคนั้นย่อมมีพิษหล่อเลี้ยงทั่วทุกอณูผิวไม่แม้แต่น้ำนมที่กลั่นออกมาจากโลหิตก็ย่อมจะมีพิษของนาคนั้นเจือปน ถึงจะรู้สึกสงสัยแกมอยากดูแต่ก็มิกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองเพราะแม้พระนางจะเป็นพระพี่นางตามเชื้อสายแต่ก็ด้วยพระนางเป็นถึงพระมเหสีแห่งพิภพบาดาลนี้ แม้เป็นน้องชายร่วมสายโลหิตก็มิสมควรแลเห็นสิ่งภายใต้ร่มผ้านั้นได้
“ทำไมเด็กนั่นมันไม่ร้องนะ มันได้กินน้ำนมของพระพี่นางเราหรือเปล่า หรือว่าเด็กนั้นมีบุญญาธิการจนทำให้สามารถดื่มกินน้ำนมจากนางนาคีได้ แต่เอ...หรือว่าเด็กนั่นเป็นนาคเหมือนเรา แต่คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก นางนาคตนใดจะปล่อยให้ลูกอ่อนของตนเอง ออกมาเร่ร่อนอยู่กับนางงูสาวและภิกษุชราได้ นางนั้นน่าจะเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูบุตรของตนเสียยิ่งกว่าชีวิต” พงพญาครุ่นคิดอยู่ในพวังของตนเอง จนไม่ได้ยินเสียงที่คำพินเอ่ยเรียก
“ท่านหัวหน้าขอรับ..ท่านหัวหน้าขอรับ..พระมเหสีทรงให้พระกษิรธาราแก่เจ้าเด็กน้อยนั่นเรียบร้อยแล้วขอรับ”
พงพญาหยุดความคิดของตนเองไว้เท่านั้น พลางมองดูพระพี่นางและเด็กน้อยนั้น เจ้าเด็กน้อยหลับตาพริ้มคงอิ่มกับน้ำนมที่ได้รับจนเต็มที่
“เออ..เจ้าเด็กน้อยนี่ หน้าตาหมดจดน่าเอ็นดูนัก อืม..ไม่แปลกใจเลยที่พระพี่นาง ทรงหลงรักตั้งแต่แรกเห็น เจ้านี่..มันน่าเอ็นดูอย่างนี้นี่เอง”
พงพญาเองก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูเจ้าหนูน้อยไม่ได้ สายตาพงพญาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อย แต่ก็อดชำเลืองมองพี่เลี้ยงของเจ้าหนูนี่ไม่ได้ สายตาดุคมที่มองสบมาทำให้บุษราวางสีหน้าไม่ถูกเมื่อถูกชายหนุ่มจ้องมอง ความรู้สึกว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาถึงใบหน้าสองแก้มร้อนผ่าวอย่างประหลาด สายตาของคนจ้องมองนั้นเปิดเผยความในใจจนหมดสิ้นล้ำลึกเรียกสีระเรื่อจากแก้มนวลได้ทันตา
อู่นอนที่ถูกเสกขึ้นให้กลับร่างจริงวางอยู่เบื้องหน้า พระนางนารินทร์นรีทรงโอบอุ้มพระนัดดาน้อยและวางประทับในอู่นอน พระเนตรหลับพริ้มด้วยอิ่มหนำกับทิพยาหารจากมารดาสู่ลูกน้อย ฉับพลันก็บังเกิดลำแสงทอรัศมีสีรุ้งแพรวพราวเปล่งประกายออกมาจากพระวรกายของพระกุมารน้อย ลำแสงนั้นส่องประกายสว่างไปทั่วทำให้บริเวณนั้นเหมือนประหนึ่งเพลากลางวันทั้งที่เป็นเวลาค่ำแล้วก็ตาม ทุกสายตาจับจ้องมองดูพระกุมารน้อยซึ่งดูเหมือนพระวรกายจะขยายใหญ่โตขึ้นโตขึ้นเพียงชั่วพริบตาประเหมือนเด็กอายุสัก 1 ขวบเศษได้
พระฉวีผุดผ่องละอองตาดั่งมีละอองทองจับทั่วทุกอณูพระวรกาย เส้นพระเกศายาวระต้นคอหยักศก พระขนงเข้ม พระเกศาพระขนงให้สีดำเหลือบเขียวเข้มเป็นประกายทองเด่นชัด พวงพระปรางยุ้ยขาวนวลอมชมพู พระกุมารน้อยบรรทมหลับพระเนตรพริ้มเข้าสู่นิทรารมณ์ พระพักตร์อิ่มเอมจากความเมตตาและทิพยาหารของพระมารดาบุญธรรม
ทุกสายตาประหลาดใจกับรูปร่างที่ดูแปลกไปของกุมารน้อย ร่างกายที่ขยายใหญ่โตขึ้นหลังจากได้รับน้ำนมเพียงชั่วอึดใจ กุมารน้อยนี้ไม่ใช่ลูกมนุษย์แต่เป็นนาคาอย่างแน่แท้ เสียงพูดคุยอึงอื้อขึ้นในหมู่ชาวบ้านอย่างทันที พระนางนารินทร์นรีทรงตรัสห้ามชาวบ้านวิจารณ์ถึงที่มาที่ไปของกุมารน้อย ทำให้พงพญาเองแม้ใคร่รู้แต่ก็ต้องห้ามใจไว้เช่นกัน
“บุษรา เราว่าเจ้าคงอธิบายเรื่องนี้ให้กับเราได้น่ะ” พระนางเอ่ยถามบุษรา
บุษรายิ้มเจื่อน สายตาหวาดหวั่นมองพระนางแลพ่อหัวหน้าหมู่บ้านหนุ่ม อีกทั้งชาวบ้านที่รอคำอธิบายจากนางทั้งสิ้น จะสอดส่ายมองหาคนช่วยหลวงตาท่านก็ไม่เปิดมุ้งกรดออกมาเสียที
“แฮ่..พ..พะ..เพคะ”
