ตอนที่ 7
“อาตมาเป็นสงฆ์ เมื่อมีผู้นิมนต์อันผลที่ตามคือการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสืบต่อไป เพื่อบุญอันบังเกิดแก่พระนาง พระสวามี และเหล่าชาวเมืองของพระนาง อาตมาก็ต้องทำตามกิจนิมนต์นั้น”
“บุษรา.. อยู่ที่นี่สัก 3 ราตรีเถอะนะ”
ภิกษุชรา สอบถามความสมัครใจของนางงูสาว เนื่องด้วยรู้ว่านางนั้นต้องการเร่งเดินทางหาที่ปลอดภัยเพื่อเลี้ยงดูกุมารน้อยและด้วยท่านนั้นเกรงที่ต้องทำให้นางเดินทางได้ล่าช้าลงอีก 2 วัน แม้ท่านจะไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าสิ่งที่นางงูหวาดกลัวว่าจะตามมาทันนั้นคืออะไรแต่ท่านก็หวังว่าบุษราคงจะรับรู้ถึงอำนาจบารมีของสถานที่แห่งนี้จะสามารถคุ้มครองนางและกุมารน้อยได้เช่นกัน
“มิเป็นไรหรอกขอรับหลวงตา คงมีเวลาพอก่อนที่.....เอ่อ...ก่อนที่นายเหนือหัวของกระผมจะแข็งแรงขึ้นอีกสักนิดเพื่อจะได้พร้อมเดินทางไกลและอีกอย่างหลวงตาอย่าลืมนะเจ้าคะว่ากระผมก็ต้องการที่จะหาน้ำนมให้เจ้านายเหนือหัวได้ดื่มกินด้วย”
ภิกษุชราส่ายหน้าระอาใจในอาการกระซิบกระซาบและลุกลี้ลุกลนของนางงูสาว เดี๋ยวแทนตัวเองเป็นชาย เดี๋ยวลงท้ายเป็นหญิง เดี๋ยวก็เรียกพระคุณเจ้า นี่ก็ไพล่มาเรียก..หลวงตา..อีก
บุษราตอบรับกิจนิมนต์ของภิกษุชราอีก 3 ราตรี แม้จะกริ่งเกรงภัยที่จะกล้ำกรายเข้ามาทุกทีก็ตามแต่ใจยังหวังว่าสถานที่คลุมด้วยมนตราแห่งนี้จะสามารถพรางตาผู้ติดตามได้ ดังคำของพระนางนารินทร์นรีกล่าวไว้ว่าสถานที่แห่งนี้ลงอาคมไว้ยากต่อผู้ใดจะรุกล้ำเข้ามาได้นอกจากมีบุญวาสนาต่อกันจริงๆ หรืออาจเป็นผู้ที่รู้มนตรานี้เช่นกัน
พระนางนารินทร์นรี ทรงล่วงรู้ถึงความคิดของภิกษุชราและบุษรา พลางมีพระราชดำริคิดถึงสิ่งที่นางงูกลัวเกรงแต่พระนางก็มิได้ตรัสเอ่ยสิ่งใดที่เป็นที่ขุ่นเคืองใจหรือทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจไปมากกว่านี้
“ไหนกุมารน้อยที่เจ้าจะขอให้ดื่มน้ำนมจากเรา ขอเราได้ชมโฉมกุมารหน่อยสิเจ้า อืม...ทำไมเจ้าถึงให้ท่านนอนกับใบไม้เหล่านั้นเล่า ทำไมไม่เสกอู่นอนสมตัวให้ท่านได้หลับนอน”
พระสุรเสียงอ่อนหวานที่ตรัสกับบุษรา แม้นจะทรงตรัสอย่างเนิบนาบแต่ก็ดูจะเหมือนดุบุษราอยู่ในทีที่ให้เจ้าเหนือหัวนั้นหลับนอนอย่างไม่สมพระเกียรติ นางงูสาวได้แต่ยิ้มแหยด้วยรู้ถึงความไม่ควร เนื่องจากนางเองไม่กล้าที่จะเอาอู่นอนออกมาคลายมนต์ให้เจ้านายเหนือหัวได้บรรทมนอนเพราะไม่รู้ว่าการแสดงตนว่ามีฤทธิ์มีเดช จะเป็นภัยอันตรายจากผู้อื่นที่พบเห็นหรือไม่ บุษราช้อนฝ่ามือที่ใต้ผ้าห่อหุ้มพระวรกายและโอบอุ้มเจ้านายเหนือหัวแนบอกแน่น กิริยานุ่มนวล เทิดทูน ระมัดระวัง บุษราโอบอุ้มพระกุมารน้อยแนบอกคลานเข่าเข้ามาหาพระนางพรางยื่นส่งพระกุมารน้อยนั้นให้แก่พระนาง
“โอ..กุมารน้อยนี่ ทรงสิริโฉมเสียจริงๆ”
พระนางทอดพระเนตรพินิจดูกุมารน้อย พระฉวีผุดผ่องละอองตามีรัศมีสีทองเปล่งประกายปกคลุมทั่วทุกอณู พระปรางขาวนวลอมชมพู พระนาสิกเล็กนิด พระโอษฐ์หน่อยสีชมพูระเรื่อ พระพักตร์จิ้มลิ้มพริ้มเพรา เส้นพระเกศาละเอียดหยักศกคลอเคลียพระพักตร์ พระเกศาพระขนงให้สีดำเหลือบเขียวเข้ม สิ่งที่ทรงประหลาดพระหฤทัยยิ่งนักนั้นคือ พระเนตรที่ทอดสบมานั้นเปล่งประกายวับวาบสีเขียวเข้มจนเกือบเป็นนิลสดใสงดงาม
“ช่างเป็นพระกุมารที่งดงามจริงๆ หากเจริญพระชันษากว่านี้ คงจะมีแต่สาวๆ หลงใหลพระองค์เป็นแน่แท้ เราเองเห็นพระองค์เป็นพระกุมารเช่นนี้ยังอดหลงรักพระองค์ไม่ได้จริงๆ โถ..พ่อนาคหนุ่มของแม่”
กระแสสัมผัสที่พุ่งตรงเข้าสู่กึ่งกลางพระหฤทัย ทำให้ผู้ที่ขานนามแทนตนว่าแม่นั้นรู้สึกได้ถึงพระวรกายสั่นสะท้านของพระองค์เอง ก้อนสะอื้นวิ่งริ้วขึ้นจุกรั้งพระศอระหง สัมผัสที่สื่อมาทำให้พระอัสสุชลไหลริน วงพระกรบอบบางโอบกระชับพระกุมารน้อยแนบพระอุระที่สั่นสะท้านไหวขึ้นลงตามแรงสะอื้น
“โอรสแห่งปทุมมาวดีหรือนี่ พระนัดดาแห่งเรา ปทุมมาวดีน้องหญิงของพี่...เหตุอันใด พระโอรสน้อยนี้ถึงได้ระหกระเหินจากอกพระมารดาได้ เหตุใดกัน..”
บุษราสะดุ้งตกใจกับพระดำรัสของพระนาง “พ่อนาคหนุ่มของแม่” พระนางล่วงรู้ว่าเจ้านายเหนือหัวนั้นเป็นใคร คงเพราะเป็นเหล่าเผ่าพันธุ์เดียวกันกระมังที่ทำให้พระนางล่วงรู้ถึงตัวตนอันแท้จริงของเจ้านายเหนือหัว ยิ่งได้ฟังคำกล่าวขานถึงพระนางที่จากมาและทรงรับรู้ได้ถึงสายพระโลหิตเดียวกันนั้น บุษราให้รู้สึกน้ำตารื้นขึ้นมากระทันหันและพาลจะไหลออกมาให้ได้
“นี่เรามาถูกทางแล้วกระมัง เรามาถึงแล้วเมืองนาคาบาดาล เมืองนาคในตำนาน ที่น้อยนักที่จะมีผู้มาถึงได้ เมืองที่ถูกปกคลุมด้วยเวทมนต์ของเจ้าผู้ครองนคร ชาวเมืองจะออกไปนอกบริเวณได้ก็ต่อเมื่อบำเพ็ญญาณบารมีจนแก่กล้าเท่านั้นและผู้คนภายนอกหรือศัตรูหมู่มารใดก็ไม่สามารถกล้ำกลายมาได้ นอกเสียจากมีบุญญาวาสนาต่อกัน.. เรามาถูกทางแล้ว” บุษราร้องไห้ไม่หยุดจนพระนางอดรำคาญพระหฤทัยไม่ได้
“เจ้าจะร้องไห้ทำไมนักหนาบุษรา ไม่ดีใจหรือที่เจ้านายของเจ้าจะมีน้ำนมดื่มกิน และพระกุมารน้อยนี้ก็เป็นพระนัดดาแห่งเรา นี่คงจะหิวมากแล้วสินะ โอ๋...ลูกชายของแม่ พระคุณเจ้า..เจ้าขา ลูกขออนุญาตให้พระกุมารน้อยนี้ได้ดื่มพระกษิรธาราก่อนนะเจ้าคะ นี่คงจะหิวแย่แล้ว”
