บทที่4
“จริงสิตาเอื้อ ก่อนไปน้องฝากจดหมายมาให้เราด้วย” คนถูกเรียกไม่ได้เอ่ยอะไรกลับไปมากนัก นอกจากเอื้อมมือไปรับจดหมายจากผู้เป็นแม่มาถือเอาไว้ เขารอจนกระทั่งมีโอกาสได้อยู่กับตัวเองตามลำพังในห้องนอน ถึงได้ค่อยๆ เปิดมันออกมาอ่าน
ถึงพี่เอื้อ
พี่ชายที่แสนดีที่สุดของตา
ตาต้องกราบขอโทษนะคะ ที่ตาไม่ได้เอ่ยลาพี่เอื้อด้วยตัวเองอย่างที่ควรทำ ยอมรับค่ะว่าตากลัวตัวเองจะกลั้นน้ำเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ ตาก็เลยถือโอกาสเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาแทน
ลาก่อนนะคะ จากนี้ตาคงไม่มีโอกาสได้เจอพี่อีกแล้ว หรือถ้าในอนาคตเราบังเอิญได้เจอกัน ก็เข้ามาทักทายกันบ้างนะคะ
ตาขอให้พี่เอื้อมีความสุข สุขภาพแข็งแรง เรียนจบอย่างที่ตั้งใจไว้นะคะ ส่วนตาก็จะพยายามมีชีวิตที่ดี ตาจะไม่ร้องไห้อีกแล้วค่ะ ที่ผ่านมาตาอาจทำให้พี่เอื้อรำคาญใจ ตาต้องขอโทษจริงๆ แต่จากนี้ตาจะไปแล้วค่ะ จะไม่อยู่ทำให้พี่ต้องลำบากใจอีก
ขอบคุณที่ดูแลตามาเป็นอย่างดี ตาจะไม่มีวันลืมพี่ชายที่แสนดีคนนี้ของตาแน่นอนค่ะ พี่เอื้อเองก็ห้ามน้องสาวคนนี้นะคะ
ลาก่อนแล้วจริงๆ ค่ะ
รักเสมอ สลิตา
หลายนาทีทีเดียวกว่าที่ชายหนุ่มจะถอนสายตาออกมาจากจดหมายที่ทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ให้ได้ดูต่างหน้าได้อย่างตั้งใจ ร่องรอยที่เป็นหลักฐานชิ้นดีว่าเจ้าของลายมือคงเขียนไปร้องไห้ไปอย่างไม่ต้องสงสัยยิ่งเห็นแบบนี้ใจคนมองก็ยิ่งรู้สึกผิด
แล้วแบบนี้มันต่างจากมาเอ่ยคำลากันซึ่งๆ หน้าตรงไหนกัน เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็ร้องไห้เพราะคนไม่ได้เรื่องเช่นเขาอยู่ดี
หกปีต่อมา
ข่าวการเสียชีวิตของสองสามีภรรยาวัยชราจากอุบัติเหตุรถชนทำให้คุณโมกและภรรยาต้องจองตั๋วเครื่องบินมาที่เชียงใหม่ทันทีที่ทราบข่าว เดือดร้อนไปถึงคุณลัดดาและครอบครัวที่เอ่ยปากขอร่วมเดินทางมาด้วย เพราะนึกเป็นห่วงใครอีกคนเหลือเกิน
ใครอีกคนที่นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับตายายเมื่อหกปีก่อน เธอ ก็ไม่เคยคิดที่จะส่งข่าวกลับมาให้คนทางบ้านได้รับรู้อีกเลย โดยเฉพาะคนเป็นพ่อ ที่นานๆ ทีจะได้เห็นลูกสาวของตัวเองผ่านรูปถ่ายที่ธนาแอบถ่ายมาให้ดูเท่านั้น และนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวจริงๆ ที่มันทำให้ท่านได้รู้ว่ายัยหนูตาของท่านนั้นยังสบายดีอยู่
“หนูตาลูก!” เสียงเรียกที่แสนคุ้นหูทำให้คนที่กำลังนั่งมองภาพถ่ายของตายายต้องหันไปตามเสียงเรียก ก่อนในนาทีถัดมาร่างของเธอ จะถูกอีกฝ่ายคว้าเข้าไปกอดทันทีที่ท่านเดินเข้ามาใกล้
“คุณป้า มาได้ยังไงคะ…”
“นั่งเครื่องมาสิจ๊ะ ว่าแต่เราเถอะ มันน่าตีนักเชียว ทำไมไม่ส่งข่าวกลับไปหาป้าบ้าง รู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงกันแค่ไหน!” คำว่า ‘เรา’ ของท่าน ทำให้เธอต้องหันไปมองเบื้องหลัง ก่อนจะพบว่านอกจากคุณป้าลัดดาแล้ว ยังมีคุณลุงสามีของท่าน และครอบครัวใหม่ของพ่อเธอ ที่ยืนออกันอยู่หน้าศาลาเต็มไปหมด
ความจริงเธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เจอกับใครต่อใครมากมายที่นี่ในวันนี้ เพราะตั้งใจจะจัดงานให้ตากับยายอย่างเงียบๆ เท่านั้นแต่ในเมื่อพวกเขามากันแล้วก็คงต้องให้การต้อนรับ
ประเดี๋ยวจะถูกด่าว่าเอาได้ ว่าตายายกับไม่สอนมารยาท!
“ตาขอโทษค่ะ” คงมีเพียงแค่คำนี้จริงๆ ที่เธอจะมอบมันให้กับท่านได้ ซึ่งความจริงแล้วเธอเองก็คิดถึงท่านมากเช่นกัน แต่เพราะอยากเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง ถึงได้ข่มใจไม่ยอมส่งข่าวคราวกลับไป
“เอาเถอะ แค่ได้มาเห็นว่าหนูสบายดี ป้าก็เบาใจแล้ว เสียดายที่ตาเอื้อยังอยู่ต่างประเทศ ไม่อย่างนั้นพี่เขาคงมาด้วยแล้ว” ชื่อของใครบางคนที่พยายามลบออกไปจากใจทำให้สลิตาชะงัก แต่เพียงไม่นานเธอก็ส่งยิ้มกลบเกลื่อนทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ยังคงรู้สึกเสมอเหมือนอย่างที่เคยรู้สึก!
หกปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวมากมายขึ้นในชีวิต แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องดีๆ เสมอ เพราะเธอไม่เก็บเรื่องแย่ๆ มาคิดให้รกสมอง แน่นอนว่าธนาพี่ชายเป็นคนเดียวที่เธอเปิดโอกาสให้บินมาเยี่ยมได้เท่าที่เขาจะหาเวลาว่างมาได้ ซึ่งก็เพราะเขาอีกเช่นกัน เธอถึงได้พลอยรับรู้เรื่องราวของคนทางนั้นเป็นครั้งคราว
เธอรู้กระทั่งว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจบินไปเรียนต่อพร้อมกันเมื่อหลายปีก่อน และหลังจากนั้นเธอก็ไม่คิดอยากรู้เรื่องราวความเป็นไปของพวกเขาสองคนให้มันเปลืองสมองอีกเพราะว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ
ทุกความคิดหยุดลงแค่เพียงเท่านั้นทันทีที่ร่างสูงใหญ่ที่แก่ชราลงไปมากเดินเข้ามาหา เนิ่นนานทีเดียวกว่าท่านจะเอ่ยขึ้น
“สบายดีไหม” ท่าทีที่อ่อนโยนลงกว่าครั้งสุดท้ายที่พบหน้าไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ระหว่างกันดีขึ้นอย่างที่ใครหลายคนวาดฝันอยากจะเห็น และทั้งหมดนี้โมกไม่โทษใครเลยนอกจากตัวเอง เป็นเขาเองที่ปล่อยผ่านเวลามาจนถึงวันนี้ ด้วยทิฐิที่มีมันทำให้เขาเลือกที่จะตัดขาดจากลูก ในขณะที่อีกฝ่ายนั้นก็ทำเช่นเดียวกัน นั่นคือ ตัดช่องทางการรับรู้ความเป็นไปของเธอทุกช่องทาง! ไม่ไปเยี่ยม ไม่โทรหา ไม่บอกแม้กระทั่งข่าวการเสียชีวิตของตายาย ปล่อยให้เขารู้ข่าวผ่านจากญาติคนอื่นๆ ของเธออีกที
“หนูตา…”
“หนูสบายดีค่ะ”
