บทที่ 5
“คุณหนูรองซู เชิญเจ้าค่ะ องค์หญิงกำลังรออยู่ทางนี้เจ้าค่ะ” นางกำนัลเห็นขบวนของซูเหยาเดินเข้ามาใกล้ก็ให้ดีใจ สังเกตนางกำนัลสองสามนางที่อยู่ด้านหลังซูเหยาคล้ายมาจากตำหนักคังโซ่ว รอยยิ้มของนางกำนัลกว้างขึ้นกว่าเดิม เดินเข้ามาต้อนรับซูเหยาอย่างกระตือรือร้น
เห็นว่านางกำนัลอาสานำทาง ซูเหยาก็ไม่ตระหนี่โยนถุงเงินให้นางกำนัลอย่างใจดี นางชอบบ่าวรับใช้ที่รู้จักพูด เป็นงานเป็นการอย่างนี้ที่สุด คนยิ่งมากยิ่งคึกคัก ขบวนเปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการ “ไปกันเถิด เวลาไม่เช้าแล้ว”
องค์หญิงผิงอันกวาดตามองบรรดาหญิงสาวภายในอุทยานพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย บ้างจับกลุ่มคุยกัน บ้างเงียบขรึม บ้างสงบเสงี่ยม บ้างกินของว่างดื่มด่ำกับมวลบุปผา
ขณะที่นางทนไม่ไหวกำลังจะเรียกนางกำนัลข้างกายให้ไปสอบถามข่าวคราว พลันได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาจากด้านนอกอุทยานดังแว่วเข้ามา จากนั้นไม่นานขบวนดาวล้อมเดือนพลันปรากฏอยู่ในสายตา ใบหน้าเฉื่อยชาพลันหลุดยิ้ม ส่งเสียงเรียกด้วยความตื่นเต้น “เหยาเหยา เจ้ามาแล้ว”
“องค์หญิง ขออภัยที่มาช้าเพคะ ที่นี่ช่างครึกครื้นยิ่งนัก หากพลาดโอกาสไม่มา หม่อมฉันคงเสียใจไปอีกหลายวัน” ซูเหยายอบกายคำนับ องค์หญิงผิงอันรีบให้นางกำนัลรั้งไว้ทันที
“คนกันเองทั้งนั้น ข้าไม่ถือสาหรอก กลัวก็แต่เจ้าจะอดชื่นชมบรรยากาศสวยงามพร้อมทั้งกินของอร่อยๆ ไปด้วยน่ะสิ” องค์หญิงผิงอันเดินมาจูงมือซูเหยาให้นั่งมาข้างกายนางอย่างสนิทสนม ทั้งยังเลื่อนจานขนมถั่วปั้นมาให้นาง
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าที่ใดครึกครื้น ที่นั่นจะขาดซูเหยาของพวกเราไปได้อย่างไร” ซูเหยาค้อนปะหลักปะเหลือกให้ทีหนึ่ง ทว่าความเร็วในการหยิบขนมชิ้นโปรดเข้าปากไม่ได้ลดความเร็วลงเลย
หลังจากกินไปสองสามชิ้น ซูเหยาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดริมฝีปาก จากนั้นค่อยหันมาพูดกับองค์หญิงผิงอัน “หม่อมฉันไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนองค์หญิงร่วมเดือน จะอย่างไรก็ต้องมีความเกรงใจกันบ้างเพคะ”
นางแสร้งถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “แต่จะโทษหม่อมฉันคนเดียวไม่ได้นะเพคะ เป็นไทเฮาที่ทรงรั้งหม่อมฉันไว้ข้างกายนานเกินไปต่างหาก”
ตั้งแต่ที่ซูเหยาก้าวเข้ามาในอุทยานแห่งนี้ สายตาทุกคู่ก็ยังไม่ละสายตาจากนางจนถึงตอนนี้ ยิ่งได้ยินนางอ้างถึงไทเฮาเมื่อสักครู่ ไม่รู้ว่าใครอดกลั้นไม่ไหวส่งเสียง ‘เฮอะ’ ออกมาครั้งหนึ่ง รอยยิ้มของซูเหยายิ่งหวานหยด นางแตะเม็ดทับทิมสีแดงบนหน้าผาก เอียงคอมองไปรอบๆ ราวกับไม่ตั้งใจ ปิ่นบนศีรษะสั่นไหวเล็กน้อย กระชับเสื้อคลุมจิ้งจอกให้แน่นขึ้นก่อนถอนสายตากลับมา
ในเมื่อพวกนางชอบมอง ก็มองจนกระอักเลือดไปเลย
“เจ้าดูท่าทางยโสโอหังของนางสิ” จ้าวชิงหวาเห็นนางโอ้อวดก็อดริษยาไม่ได้ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกบิดจนยับย่น สตรีนางนี้หน้าด้านหน้าทน ข่าวฉาวขนาดนี้ยังยิ้มแย้มแจ่มใสได้อยู่อีก มิน่าถึงมีคนด่านางลับหลังว่าเป็นนางแพศยา
อาหารเครื่องดื่มที่องค์หญิงผิงอันเตรียมมามีแต่อาหารรสเลิศ นางกำนัลรับใช้ล้วนหน้าตาดี ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ทำให้ซูเหยาเจริญอาหารมากขึ้นไปอีก พวกนางมีความชมชอบคล้ายคลึงกันหลายอย่างเช่น ชื่นชอบคนงาม เลือกกินแต่อาหารรสเลิศเท่านั้น
“สุราดี” ซูเหยาชมออกมาจากใจจริง ทั้งยังจิบอีกสองสามครั้งค่อยวางจอกในมือลง
“สุรานี้ข้าหมักเองมาห้าปีเต็ม หากไม่ใช่อยากให้เจ้าดื่มด่ำกับธรรมชาติเช่นนี้ล่ะก็ ข้าไหนเลยจะตัดใจนำออกมากัน” องค์หญิงผิงอันแสร้งพูดจีบปากจีบคอ “หากเจ้าชอบก็นำกลับไปสักกาสิ ที่ข้ายังมีอีกเยอะ”
“ไม่ล่ะเพคะ ดื่มคนเดียวไหนเลยจะรสชาติดีเท่าดื่มกับสหาย” ซูเหยาส่ายหน้าหัวเราะ เปลี่ยนมากระซิบกระซาบที่ได้ยินเพียงพวกนางสองคน “องค์หญิงรู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัวบ้างหรือไม่เพคะ”
“หือ ไม่นี่” องค์หญิงผิงอันหน้าตาเหลอหลา “หรือสุรากานั้นมีปัญหา โถ่เอ๊ย ข้าลืมไปได้อย่างไร เจ้าเพิ่งจะหายดี ร่างกายยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ไม่เหมาะจะดื่มสุรา”
“หม่อมฉันหาได้อ่อนแอเพียงนั้น” ซูเหยาพยักพเยิดไปทางด้านหนึ่ง “ทอดพระเนตรทางนั้นสิเพคะ พวกนางจ้องมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อหม่อมฉันก็ไม่ปาน หากยังไม่หยุด เห็นทีตาคงถลนออกมาแล้ว”
องค์หญิงผิงอันหน้าแดงยกมือขึ้นมาปิดปากบดบังมุมปากที่กำลังยกขึ้น ร่างกายกระตุกเล็กน้อย กลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ “ข้าไม่เห็นรู้ว่าพวกเจ้ามีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน”
ซูเหยายักไหล่ ยกมือขึ้นแตะปิ่นที่ปักบนผมเบาๆ “ใครจะรู้ล่ะเพคะ บางทีนางอาจจะอิจฉาความงามของข้าก็เป็นได้”
“ฮ่าๆ อุ๊บ...ขอโทษทีข้าทนไม่ไหว” เสียงหัวเราะสดใสขององค์หญิงผิงอันคล้ายดั่งระฆังช่วยให้บรรยากาศกระอักอ่วนกลับมารื่นเริงเป็นปกติ
“มีเรื่องดีๆ อะไรทำให้น้องพี่สำราญใจได้ขนาดนี้” เสียงนุ่มทุ่มดังมาจากทางด้านซ้ายขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสอง ซูเหยาหันไปมองเจ้าของเสียง คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย
