บทที่ 4
ณ อุทยานหลวง
“เหยาเหยา มาถึงรึยัง”
“ยังไม่เห็นเลยเพคะ หรือคุณหนูรองซูจะไม่มาแล้ว” สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งเป็นประธานอยู่ด้านหน้าชะเง้อคอมองทางเข้าตลอดเวลา เพื่อรอการปรากฏตัวของคนบางคน
นั่นก็คือองค์หญิงผิงอัน เจ้าของงานเลี้ยงชมบุปผานี้นั่นเอง
องค์หญิงผิงอัน เป็นเพียงธิดาองค์เดียวของฮองเฮา เนื่องจากฮองเฮาไม่มีพระโอรส พระนางจึงรักและตามใจพระธิดาเป็นอย่างมาก นับแต่เล็กองค์หญิงก็มีคู่หมั้นเป็นบุตรชายคนโตของจวนจ้าวกั๋วกง งานมงคลสมรสให้จัดขึ้นเมื่อนางอายุครบสิบแปดปี ครั้นถึงวัยปักปิ่นขององค์หญิงผิงอัน จ้าวลั่วหมิงแอบลักลอบมีสัมพันธ์กับท่านหญิงรั่วเจิน ธิดาของเหลียนอ๋องซึ่งเป็นโอรสองค์โตของอดีตฮ่องเต้
เรื่องนี้สร้างความอับอายให้องค์หญิงผิงอันและฮองเฮา นับแต่นั้นมาจวนท่านแม่ทัพใหญ่อู๋เหวินปั๋วที่เป็นดั่งไม้หลักพักพิงของฮองเฮากับจวนจ้าวกั๋วกงเป็นดั่งน้ำกับไฟ เจอกันที่ใด ไม่พ้นต้องมีเรื่องให้กระทบกระทั่งกัน ถึงแม้ไม่อาจทำอันใดเหลียนอ๋องได้ กระนั้นความสัมพันธ์อันดีที่มีมายาวนานก็เป็นอันห่างเหิน
เรื่องราวตอนนั้นเป็นที่โจษจัณทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่มีตระกูลไหนกล้าตบแต่งกับคนของตำหนักเหลียนอ๋อง บ่าวรับใช้ในตำหนักไม่มีใครกล้าออกมาเดินซื้อของในตลาดเพราะชาวบ้านต่างโกรธแค้นแทนองค์หญิงผิงอัน ร่วมกันประณาม ลงมือทุบตีคนของตำหนักเหลียนอ๋อง เรื่องนี้สร้างความปวดหัวให้ฮ่องเต้เป็นนาน
ภายหลังยุติลงเพราะฮ่องเต้ทำการลงโทษริบคืนอำนาจทางการทหารของเหลียนอ๋องและงดจ่ายเบี้ยหวัดทั้งสองจวนเป็นเวลาสองปี พร้อมทั้งพระราชทานสมรสให้กับจ้าวลั่วหมิงและท่านหญิงรั่วเจิน ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของท่านผู้นั้นเป็นผลดีหรือผลร้ายต่อชีวิตคู่ของทั้งสองกันแน่
จากเหตุการณ์สั่นสะเทือนชาวเมืองครั้งนั้น บัดนี้ล่วงเลยมาสองปีแล้ว องค์หญิงผิงอันก้าวออกจากตำหนักเป็นครั้งแรก ถือโอกาสจัดงานเลี้ยงชมบุปผาต้อนรับการมาของสหายสนิทที่เพิ่งจะหายป่วย ทว่างานเริ่มไปสักพักแล้ว ตัวเอกของงานอีกนางยังไม่ปรากฏตัวสักที งานเลี้ยงชมบุปผาที่มีสีสันกลับสร้างความเบื่อหน่ายให้นางยิ่งนัก
“ได้ยินมาว่านางปฏิเสธหมั้นหมายกับพี่ห้า เอกบุรุษที่สตรีทั่วทั้งเมืองอยากได้เป็นสวามี จนกลายเป็นข่าวซุบซิบยามว่างของเหล่าสตรีตระกูลชั้นสูงติดต่อกันหลายวัน” องค์หญิงผิงอันจิบชาอึกหนึ่ง จากนั้นพูดต่อยิ้มๆ “ข้าว่านางต้องมาแน่ เรื่องพวกนี้สำหรับนางนับเป็นอะไรได้”
เหล่าสตรีในเมืองนอกจากร่ำเรียนในสำนักศึกษาหญิงแล้ว วันๆ ก็ไม่มีอะไรทำ เมื่อมาอยู่รวมกันก็หนีไม่พ้นเรื่องซุบซิบนินทา หัวข้อที่ถูกยกขึ้นมาในยามนี้ย่อมเป็นเรื่องของ ‘ซูเหยาผู้โง่เขลา’ เนื้อมังกรอยู่ตรงหน้าไม่ยอมกิน กลับเลือกกินห่านป่าแทนเสียนี่
“เจ้าว่านางจะกล้ามาหรือไม่ สตรีที่สวยแต่รูปอย่างนั้นถึงกับกล้าปฏิเสธคังอ๋อง ข้าว่านอกจากไม่มีสมองแล้วยังสติฟั่นเฟือนด้วย” จ้าวชิงหวาวางก้อนขนมที่กัดได้เพียงครึ่งเดียวลงบนจาน กระซิบกระซาบกับคนข้างกาย “หากข้าเป็นนาง ข้าไม่มาให้อับอายขายหน้าคนในสกุลหรอก”
“เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อย หากคนอื่นได้ยินเข้าแล้วเอาไปพูดต่อ คงจะไม่เป็นเรื่องดี” คนที่นั่งอยู่ข้างจ้าวชิงหวาคือเว่ยซิน นางเป็นหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่มีชื่อเสียงด้านรูปลักษณ์และความสามารถ เป็นสตรีที่เพรียบพร้อมพอๆ กับซูม่านม่านพี่สาวของซูเหยา คนภายนอกมักคิดกันไปว่าพวกนางไม่ลงรอยกัน เห็นอีกฝ่ายเป็นคู่แข่ง แต่ใความเป็นจริงนั้น เว่ยซินไม่ชมชอบนิสัยอวดรวยของซูเหยามากกว่า ปัญญาชนมักยกย่องคนเก่ง ไม่นิยมพวกอวดรูปโฉมเพียงอย่างเดียว
“จะเป็นไรไป ต่อให้พวกเราไม่พูด คนอื่นก็พูดอยู่ดี ใครก็ห้ามปากของคนไม่ได้หรอก” เว่ยซินเพียงขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบกลับไป ในใจลึกๆ นางแอบเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของสหาย สตรีตื้นเขินอย่างซูเหยาไม่เหมาะกับคังอ๋องจริงๆ
