บทที่ 3
หลายวันก่อนคนทางนั้นส่งกงกงจากในวังมาเยี่ยมเยียนซูเหยา เห็นนางไม่เป็นอันใดมากแล้ว วันนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดี องค์หญิงผิงอันจัดงานเลี้ยงชมบุปผา เชิญเหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่มาร่วมงานไม่น้อย ในฐานะนางที่เป็นหนึ่งในตัวเอกของงาน ซูเหยาย่อมตอบรับคำเชิญ
ซูเหยาชอบความสนุกสนานเป็นที่สุด ดังนั้นสถานที่ใดมีความครึกครื้น มีผู้คนรวมตัวกันจำนวนมากจึงจะสามารเผยโฉมหน้าของตนให้หญิงสาวทั้งหลายริษยากันตายไปเลย หากเป็นเมื่อก่อนนั้นคงทำเพียงร่วมชมความครึกครื้นอย่างเดียว
ทว่านับตั้งแต่สมองนางจุติใหม่อีกครั้ง ซูเหยาจึงถือคติไว้ว่า ใช้ชีวิตตามแต่ใจตน กิน ดื่ม เงินทอง เสื้อผ้าอาภรณ์ต้องไม่ขาด นี่สิถึงจะเป็นกำไรของชีวิต
นางคือซูเหยา คือหญิงงามอันดับหนึ่ง ทว่างามก็งามอยู่หรอกแต่ความคิดตื้นเขินไปสักหน่อย ในยุคที่บ้านเมืองสงบสุข ไร้ศึกสงคราม หญิงงามที่แท้จริงต้องมาพร้อมกับความสามารถที่มากล้น เป็นยอดหญิงชนชั้นสูงในสายตาของผู้คน
ถึงกระนั้นเหล่าสตรีที่วันๆไม่มีอะไรทำก็อดริษยานางไม่ได้อยู่ดี เบื้องหน้านอกจากชื่อเสียงด้านรูปโฉมงดงามที่ลือกันไปทั้งเมืองหลวงแล้ว นางยังเป็นบุตรีภรรยาเอกคนก่อน มีมารดาเลี้ยงที่รักใคร่ มีคนรักเป็นบุรุษในฝันของผู้คนทั้งหลาย เบื้องหลังเป็นหลานสาวที่ไทเฮาโปรดปราน มีท่านลุงเป็นเสนาบดี ท่านน้าเป็นหมอเทวดา ใช้ชีวิตตามอำเภอใจ สุขเกษมสำราญ แค่คิดนำมาเปรียบเทียบกับตน ช่างชวนกระอักเลือดออกมาหลายคำดีแท้
ทว่าน่าเสียดาย...โฉมสะคราญก็มีจุดด่างพล้อยเช่นกัน ซูเหยามองว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก เพียงแค่บังเอิญพบเจอพี่สาวกับคนรักของนางกำลังกอดจูบกันที่สวนหลังบ้านของนางในคืนๆหนึ่ง
อ่า ชายสารเลวผู้นั้นพูดอันใดนะ
‘นางเป็นคุณหนูของจวนหย่งอันโหว เป็นดั่งดวงหทัยของเสด็จย่า เบื้องหลังของนางนั้นยิ่งใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เหมาะสมที่จะเป็นชายาของตำหนักคังอ๋อง’
‘แต่นางจะเทียบกับเจ้าได้อย่างไร ภายในใจของข้าเจ้าดีที่สุด อย่าร้องอีกเลย…แค่ครั้งนี้เท่านั้น ภายภาคหน้าข้าไม่มีทางทำให้เจ้าน้อยเนื้อต่ำใจเป็นแน่’
ซูเหยาได้แต่รำพึงรำพัน หากจะเชื่อคำพูดของบุรุษน่ะ ไม่สู้หนีไปนอนกลางวันเสียยังดีกว่า นี่สินะที่เขาเรียกกันว่า ‘รู้จักมานาน ไม่ใช่รู้จักกันดี’
ที่จริงนางชมชอบคังอ๋องผู้นี้มาก คิดมาเสมอว่าเขาเป็นบุรุษหน้าตาดี มากความสามารถ ย่อมต้องเป็นคู่ครองที่ดีของนางอย่างแน่นอน ต่อมานางเพิ่งเข้าใจว่านอกจากหน้าตาแล้ว บุรุษผู้นั้นก็ไม่มีอะไรดี
ยังดีที่ยังไม่ได้ตกลงหมั้นหมาย วันที่ไทเฮาส่งนางกำนัลคนสนิทมาสอบถาม นางจึงเอ่ยปฏิเสธการเกี่ยวดองนี้อย่างไม่ต้องหยุดคิด
ไทเฮามาจากตระกูลฟางซึ่งเป็นตระกูลบัณทิต มีพี่ชายร่วมอุทรเพียงคนเดียว แต่โชคไม่ดีพี่ชายพี่สะใภ้ตายจากตั้งแต่ยังหนุ่มเหลือทิ้งไว้เพียงหลานชายหลานสาวให้พระนางช่วยดูแล ซึ่งก็คือท่านลุงเสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านน้าที่ตอนนี้ออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วใต้หล้า และท่านแม่ของนางที่จากโลกนี้ไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน สตรีในตระกูลฟางนั้นมีน้อย ด้วยเหตุนี้ซูเหยาถึงได้รับอานุสงค์จากมารดาเป็นที่รักที่เอ็นดูของทุกคนในตระกูลฝั่งมารดา
ดังนั้นต่อให้ผู้คนทั้งหลายอิจฉาริษยาหรือเกลียดชัง เบื้องหน้าก็ยังต้องเกรงกลัวต่ออิทธิพลของนางอยู่ดี
ซูเหยาผู้เป็นที่กล่าวถึงของชาวเมืองหลวงในขณะนี้กำลังนั่งกินดื่มอยู่ที่ตำหนักคังโซ่วเพื่อมาเข้าเฝ้าไทเฮาเป็นคนแรก งานเลี้ยงอะไรก็ดีหมด เว้นเสียแต่อาหารที่ออกจะเย็นชืดไปสักหน่อย ไม่ถูกปากช่างเลือกกินของนางแม้แต่น้อย
ไทเฮาได้ยินว่าซูเหยาจะไปร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาขององค์หญิงผิงอันที่อุทยานหลวง จึงให้ห้องครัวเล็กในตำหนักเตรียมของว่างรองท้องให้นางอย่างรู้ใจ ทั้งยังมอบเสื้อคลุมสีขาวเข้ากับชุดกระโปรงสีแดงลายดอกเหมยยิ่งขับเน้นความงามของนางให้ซูเหยาตัวหนึ่ง
“เสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวนี้เหมาะกับดรุณีน้อยอย่างเจ้ามากนัก ข้าเก็บไว้ก็ไม่ได้ใส่ ต้องให้หญิงงามใส่ถึงจะเหมาะสมที่สุด” ไทเฮาพูดอย่างสำราญใจ จ้องมองสาวน้อยตรงหน้าที่พระนางเลี้ยงมากับมือตั้งแต่นางยังเล็กจนเติบใหญ่
“แต่เหมือนว่าจะยังขาดสีสันบางอย่างไป หลายวันมานี้เจ้าล้มป่วยร่างกายอ่อนแอ ผิวขาวๆราวหิมะยิ่งขาวเข้าไปใหญ่ กลัวจริงๆว่าหากต้องลมเย็นมากเกินไป ร่ายกายแบบบางของเจ้าจะปลิวหรือไม่” เหล่านางกำนัลได้ยินก็อยากหัวเราะทว่าไม่กล้าส่งเสียง ยามปกติไทเฮาเป็นนายที่เคร่งขรึม เข้มงวด ยกเว้นเรื่องคุณหนูซูเหยาที่พระนางจะกลายเป็นผู้ใหญ่จอมจู้จี้ ห่วงพะวงไปเสียทุกเรื่อง
ซูเหยายกมือปิดปากหัวเราะ ดวงตารีเรียวโค้งเป็นเส้นตรงอย่างน่ารัก “ต้องให้พระองค์ทรงเป็นกังวลแล้ว หากว่าหม่อมฉันเดินสามก้าวก็ล้ม ต้องลมนิดหน่อยก็ปลิว เช่นนั้นซูเหยาก็ไม่มีหน้าออกมาพบป่ะผู้คนแล้ว”
“เจ้านี่นะ เจ้านี่นะ” ไทเฮาแย้มสรวญลูบศรีษะนางเบาๆด้วยความเอ็นดู จากนั้นหันไปบอกให้นางข้าหลวงไปหยิบเครื่องประดับทับทิมออกมาชุดหนึ่ง ลงมือหยิบเครื่องประดับชุดนั้นใส่ให้ซูเหยาอย่างตั้งใจ
“นี่สิถึงจะเรียกว่าหญิงงามแห่งยุค ไม่เสียชื่ออดีตหญิงงามอันดับหนึ่งของมารดาเจ้าแล้ว” ซูเหยาเพียงยิ้มรับ ไม่ขัดต่อความมุ่งมั่นที่ต้องการแต่งสวยให้ตน
“ขอบบพระทัยเพคะ”
พอซูเหยาจากไป ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มเจอความเศร้าหมองจางๆ “ข้าแก่แล้วไม่เหมาะกับของสวยๆงามๆเช่นนี้หรอก ผ้าเนื้อดีและเครื่องประดับนอนกองอยู่ในคลังให้ฝุ่นจับไปวันๆก็ไร้ประโยขน์ วันนี้ก็นำไปส่งให้นางสักหลายพับเถิด”
เด็กคนนี้น่าสงสารนัก หากพระนางไม่เอาใจใส่ให้มากหน่อย ใต้หล้าคงไม่มีใครเหลียวแลนางอีกแล้ว
