๒ ภาพฝันที่ต่างกัน (๓)
กุลิสราแวะมาหาคู่หมั้นแทบทุกวัน แต่ละครั้งก็ยังมีของฝากถึงหล่อนตลอด อาจเป็นขนมบ้างอาหารบ้างหรือของเล่นลูกชายทั้งสอง เกรงใจจนไม่กล้ารับก็ถูกคะยั้นคะยอจนต้องรับของไว้เหมือนเดิม คราวนี้ก็คงไม่ต่างหรอก
“เกรงใจจังเลย มาทีไรเอาอาหารมาด้วยตลอด”
“ถือเป็นคำขอบคุณที่คุณรุ้งช่วยงานพี่กวินไงคะ แบ่งเบาไปได้เยอะเลย อีกอย่างเรื่องแค่นี้เองไม่ถือว่ายุ่งยากหรอกค่ะ ยังไงแยมก็ต้องเอาอาหารเที่ยงมาให้พี่กวินอยู่แล้ว” เหตุผลเดิมที่บอกแล้วคนฟังก็เลือกจะยื่นมือไปรับของมาถือไว้เอง พร้อมค้อมศีรษะส่งรอยยิ้มให้คนที่เผื่อแผ่อาหารมาให้ตัวเอง
“ขอบคุณนะคะ”
“ยินดีค่ะ...พี่กวินอยู่ข้างในใช่ไหมคะ” ชี้ไปยังประตูบานใหญ่ เธอไม่ได้โทรมาถามเขาก่อนจึงไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายอยู่ในห้องหรือเปล่า
“ใช่ค่ะ กำลังอ่านเอกสารเตรียมประชุมกับฝ่ายการตลาดช่วงบ่าย” พยักหน้าพึงพอใจ กำลังจะก้าวเข้าไปใกล้ประตูกลับต้องชะงัก หันมาถามเลขานุการคนสนิทของเขาเป็นการย้ำอีกครั้ง ไม่มั่นใจว่าร่างสูงจะยินดีต้อนรับหรือเปล่า กลัวว่าหากเข้าไปอาจเจอสายตาทิ่มแทงจนร่างกายพรุนไปทั่วตัวก็อาจเป็นได้
“แยมเข้าไปจะกวนไหมคะ”
“เวลาพักนี่คะ อีกอย่างเป็นคู่หมั้นจะกวนได้ยังไง” สถานะที่ได้ยินเรียกรอยยิ้มจากหล่อนอย่างง่ายดาย หญิงสาวพยักหน้าตามพลางพูดรับคำเสียงเบา เหมือนเพิ่งจำได้ว่าตัวเองไม่ใช่แค่น้องสาวเหมือนในอดีต แต่นิ้วนางข้างซ้ายมีแหวนเพชรที่เขาบรรจงสวมให้ในวันหมั้น
หล่อนมีสิทธิ์เข้าไปในห้องนี้...
“นั่นสิคะ...ขอบคุณนะคะ” ค้อมศีรษะให้คุณรุ้งรายก่อนเคาะประตูเป็นการขออนุญาต รอไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบรับจากคนข้างใน เธอจึงกระชับถุงที่ตนถือก่อนผลักประตูให้เปิดออกพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่มอบให้เจ้าของห้องโดยเฉพาะ
ร่างหนาเงยหน้าจากเอกสารพบสาวสวยที่ก้าวเข้ามาใกล้ ก่อนเปลี่ยนจุดหมายเป็นชุดโซฟารับแขกที่บางคราวก็เป็นโต๊ะรับประทานอาหารไปในตัว อย่างเช่นตอนนี้ที่เธอนำถุงอาหารวางลงบนโต๊ะก่อนเดินเข้ามาใกล้เขา
“พี่กวินคะ ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้วค่ะ” เตือนถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงแต่ท่านรองฯ ก็ยังไม่ยอมลุกจากเก้าอี้สักที เขานั่งอ่านเอกสารอยู่อย่างนั้นสลับกับเงยหน้ามองหน้าจอขนาดใหญ่ที่มีรายงานผลหุ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“เอาวางไว้เลย” ไม่ได้สนใจหล่อนเท่าที่ควร ยามทำงานเขามุ่งมั่นจริงจังซึ่งกุลิสราก็มองว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเจ้าตัว ถ้าอยู่ในเวลางานไม่ใช่ช่วงพักเหมือนตอนนี้ก็คงตามใจชายหนุ่มไปแล้วล่ะ
เพียงแต่ว่าถึงเวลาอาหารเที่ยงก็ต้องกินข้าว เพราะร่างสูงไม่ค่อยรับประทานมื้อกลางวันทำให้ปวดท้องบ่อย ยังดีที่ไม่เป็นโรคกะเพาะแต่ก็นึกเป็นห่วงชายหนุ่มจึงพยายามมากินข้าวกับเขาทุกเที่ยงของวันทำงาน อย่างไรเธอก็ว่างอยู่แล้วมากินข้าวกับคู่หมั้นดีกว่า
“ไม่ได้ค่ะ พี่ต้องมากินข้าวเดี๋ยวนี้ คราวก่อนก็ไม่ยอมกินจนปวดท้องไม่ใช่เหรอ คราวนี้แยมไม่ยอมนะคะ พี่กวินต้องลุกมากินข้าว เร็วค่ะ” พูดย้ำไม่พอยังดึงแขนหนาเพื่อให้ลุกจากเก้าอี้ เขาเห็นอย่างนั้นก็เลือกจะขืนตัวไว้ไม่ยอมขยับ
“ขออีกห้านาที” บอกเสียงเรียบไม่ได้สนใจหล่อนสักนิด
“พี่กวิน...” เรียกเขาอีกครั้งเพื่อให้ร่างสูงลุกไปรับประทานอาหาร ค่อยกลับมาทำงานหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ไม่สาย บรรยากาศในห้องดูจะน่าอึดอัดเพราะเขาไม่ยอมลุกแล้วหล่อนก็ไม่ยอมถอย
“หิวก็กินก่อนเลย” หันไปบอกเธอ
“แยมไม่ได้หิวแต่เป็นห่วงพี่” บอกความในใจของตัวเองจนคนฟังชะงัก เขาทอดถอนใจก่อนแหะมือบางออกจากแขนของตน ยามทำงานไม่ชอบให้ใครมาขัดแต่เหมือนว่าหญิงสาวจะไม่เข้าใจในส่วนนี้เท่าไหร่ จึงคอยตามติดไม่ห่าง
จนบางครั้งเหมือนเป็นการล้ำเส้นมากเกินไป ทำให้ร่างสูงแสดงท่าทีเย็นชาพร้อมกับใช้คำพูดที่ค่อนข้างทำร้ายจิตใจคนฟังพอสมควร
“ก็บอกว่าเดี๋ยวจะกินไม่ได้บอกว่าไม่กินสักหน่อย ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากด้วย...คราวหลังไม่ต้องมาแล้วนะ พี่หาข้าวกินเองได้” คำพูดไร้เยื่อใยทำให้เธอยืนจ้องเสี้ยวหน้าคมนิ่ง เขาไม่ได้หันมามองเอาแต่ก้มหน้าอ่านเอกสาร จนหล่อนนึกอยากเรียกร้องความสนใจด้วยการโวยวายให้รู้แล้วรู้รอด
แต่สิ่งที่ทำคือนิ่งเงียบเหมือนเดิม พร้อมยืนกรานความต้องการเดิมของตัวเอง เขาไม่มีทางหนีเธอพ้นหรอก ตอนนี้เราหมั้นหมายกันแล้วอีกไม่กี่เดือนก็เข้าพิธีวิวาห์ เรื่องอะไรจะปล่อยร่างหนาให้หลุดมือล่ะ
เธอรักเขาข้างเดียวมาหลายปี คิดว่าตัวเองควรสมหวังได้แล้ว...
“ไม่ค่ะ แยมจะมา จะมาทุกวันจนพี่เบื่อนั่นแหละ” คราวนี้กวินเป็นฝ่ายหันมองเธอบ้าง จ้องอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่เข้าใจว่าหญิงสาวจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
“เฮ้อ กินแล้ว”
สุดท้ายท่านรองประธานผู้มาด้วยอำนาจก็พ่ายแพ้แก่คู่หมั้นสาว ปิดเอกสารก่อนลุกยืนเต็มความสูงเพื่อเดินไปนั่งที่โซฟายามเตรียมรับประทานอาหารเที่ยงพร้อมเธอ ไม่ใช่ครั้งแรกที่กุลิสรามักจะมาที่บริษัทพร้อมถุงอาหารมากมายจนกลายเป็นที่ชินตา เหมือนกับว่าเธอมาตอกย้ำสถานะของตนเองในตอนนี้
ว่าตนไม่ได้เป็นแค่น้องสาวอีกต่อไปแล้ว
“ต้องแบบนี้สิคะ” รีบเดินตามมานั่งข้างเขา
หล่อนเป็นคนนำอาหารออกจากถุงแล้ววางเรียงไว้ตรงหน้า โดยที่กวินก็ช่วยเปิดกล่องอาหารที่ส่งกลิ่นหอมจนเรียกน้ำลายได้ไม่ยาก เขาเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองหิวก็ตอนนี้เอง ชายหนุ่มหยิบจานข้าวมาไว้ตรงหน้าแต่ยังไม่ทันเริ่มตักเข้าปากกลับถูกเธอยัดบางอย่างใส่ไว้ในมือเสียก่อน
ไม่ใช่ของแปลกใหม่เพียงแต่เขาไม่ได้เห็นมันนานพอสมควร
“พี่กวินดูนี่สิ แยมไปทำลูกอมที่บ้านของลิตา จำได้ว่าตอนเด็กพี่ชอบกินลูกอมมากแยมเลยต้องซื้อไปฝากตลอด” เธอนั่งลงข้างเขาพร้อมกับเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าแห่งความสุข จำเรื่องราวในอดีตระหว่างเราได้เป็นอย่างดี
