บท
ตั้งค่า

๒ ภาพฝันที่ต่างกัน (๒)

“มาถามฉันได้ยังไงล่ะ ฉันไม่ได้ชื่อกวินสักหน่อย อยากรู้ก็ไปถามพี่กวินเอาเองสิ แต่ระวังคำตอบที่ได้กลับมาจะทำให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งล่ะกัน บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ช่วยปลอบหรอกนะ” จากตอนแรกที่เหมือนดีกลับกลายเป็นว่าเธอต้องยกมือขึ้นทุบอกกว้างที่ไม่ให้กำลังใจกันเลยสักนิด

“นายนี่มัน...ขอให้อกหักไปตลอดชีวิต!” คำแช่งเหมือนจะเป็นจริงขึ้นมาทันที เขาทำได้เพียงมองเธอแล้วไหวไหล่เล็กน้อย พร้อมย้ำเตือนถึงความจริงบางอย่างจนหญิงสาวเลือกจะปิดปากเงียบทันที บรรยากาศผ่อนคลายกลายเป็นความอึดอัด

“ตอนนี้ก็อกหักอยู่ไม่ใช่หรือไง”

คีตภัทรบอกอย่างตรงไปตรงมา เขาชอบเพื่อนสนิทของตัวเองแล้วก็เคยสารภาพไปแล้วก่อนโดนปฏิเสธ สถานะของเราจึงเป็นแค่เพื่อนมาตลอดสิบปี กระทั่งวันนี้ที่เธอจะเลื่อนมาเป็นพี่สะใภ้ในอีกไม่ช้า ไม่รู้สวรรค์เล่นตลกอะไรกับเขานักหนา

กลั่นแกล้งกันแบบนี้เขาก็แย่น่ะสิ...

“มีเอกสารต้องเซ็นอีกไหมครับ” นอกจากคุยงานแล้วเลขานุการก็นำเอกสารจำเป็นมาให้เขาเซ็นถึงงานหมั้น จึงจำต้องปลีกตัวมาทำงานจรดปลายลงบนเอกสารแล้วคืนให้อีกฝ่าย ก่อนถามย้ำเพราะคืนนี้เขาต้องไปรับประทานอาหารเชื่อมสัมพันธ์สองครอบครัว

“ไม่แล้วค่ะ”

พยักหน้ารับทราบแล้วเดินกลับเข้าไปในงาน เท้าหนักชะงักเมื่อเห็นภาพเพื่อนสนิทที่ยิ้มหัวเราะให้กัน หนึ่งคนคือน้องชายแล้วอีกคนคือคู่หมั้น นัยน์ตาคู่สวยไม่บ่งบอกอารมณ์แต่กลับจ้องภาพตรงหน้าไม่วางตา ก่อนสะดุ้งเล็กน้อยยามถูกปลุกจากภวังค์ หันไปพูดคุยกับญาติที่มาร่วมงาน ปล่อยผ่านภาพนั้นเหมือนที่เคยทำมาตลอด

งานหมั้นเสร็จสิ้นในเวลาต่อมา ช่วงเย็นสองครอบครัวนัดรับประทานอาหารที่ภัตตาคารชื่อดัง โดยการสนทนาเต็มไปด้วยโปรเจคที่กำลังจะเกิดขึ้น คีตภัทรจึงขอออกมาก่อนโดยอ้างเรื่องงาน ส่วนหญิงสาวก็เลือกจะมองหน้าคู่หมั้นของตัวเองไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะเป็นจริง

เธอมีความสุขจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ หลายอย่างที่ไม่อาจทำได้ตอนเป็นพี่น้อง เมื่อเป็นคู่หมั้นก็ทำได้หมดทุกอย่าง

อย่างเช่นตอนนี้ที่สามารถมาหาเขาอยู่ที่ทำงานตอนเที่ยงได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมเพราะคนทั้งบริษัทต่างรู้ดีว่าในอนาคตหล่อนจะขึ้นเป็นสะใภ้ใหญ่ของเมธปิยา

ถึงกวินจะไม่ค่อยมีเรื่องรักใคร่แต่ก็มีคนในแวดวงเดียวกันเข้าหาตลอด เขาปฏิเสธอย่างสุภาพบ่อยครั้งจนเธอนึกกลัวว่าจะทำอีกฝ่ายหลุดมือ จะต้องพยายามไขว้คว้าให้ได้เขามาอยู่ข้างกายแล้วสุดท้ายก็สำเร็จ

“พี่กวินคะ...ตอนเย็นคุณพ่อคุณแม่ชวนให้ไปกินข้าวที่บ้าน” ช่วงเที่ยงของวันที่เธอสามารถเข้ามาในห้องทำงานของเขาได้โดยใช้คำว่าคู่หมั้นเป็นใบเบิกทาง คนตัวสูงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่โดยก้มหน้าอ่านเอกสารใบหน้าเคร่ง

เธอเห็นเขาไม่ได้ให้ความสนใจตนก็ถอนหายใจ พยายามบอกให้ชินกับเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก

แต่เพราะคาดหวังมากเกินไป ทำอย่างไรก็ยังไม่ชินสักที

“ครับ”

เขาไม่ได้พูดหรือถามอะไรอีก ยังคงก้มหน้าทำงานเหมือนเดิมทำเหมือนว่าหล่อนไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย จนคนที่ทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากขึ้นมาก่อน แม้จะรู้ความจริงเป็นอย่างดีของการแต่งงานครั้ง แต่ก็อยากได้ยินจากเขาสักครั้ง

ถึงเป็นแค่การโกหกก็ตาม...

“พี่ พี่กวิน...เราแต่งงานกันเพราะความรักใช่ไหมคะ” ปลายประโยคทอดเสียงหวานมองเขาแววตาเว้าวอน จนชายหนุ่มถึงกับชะงัก เงยหน้าขึ้นมามองเธอคล้ายกับไม่อยากเชื่อว่าคำพูดนั้นจะออกมาจากปากของหล่อนได้

ทั้งที่เราต่างก็ทราบเป็นอย่างดีว่าการแต่งงานครั้งนี้เกิดจากอะไร แต่กุลิสราก็ยังต้องการคำตอบจึงได้เค้นถาม

“พี่ทำให้คิดแบบนั้นเหรอ ขอโทษนะแต่พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น” ตอบตามตรงก่อนก้มลงอ่านเอกสาร การกระทำของเขายิ่งทำให้คนคาดหวังรู้สึกเหมือนถูกผลักตกลงเหวลึกจนต้องคว้าพนักเก้าอี้จับไว้ไม่ให้ตัวเองทรุดลงบนพื้น

แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาไม่ได้รัก แต่พอได้ยินกลับทำให้เจ็บกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก

“หมายถึงไม่ได้รักใช่ไหมคะ...” เหมือนคำถามของเธอจะส่งไปไม่ถึงเขา ร่างสูงจึงเลือกจะปิดเอกสารแล้วเงยหน้ามองหล่อน ไม่รู้ถึงสาเหตุที่กุลิสรามาคาดคั้นเอาคำตอบจากตนทั้งที่เราต่างก็รู้อยู่แล้วว่างานแต่งเกิดจากอะไร

“ไว้เจอกันตอนเย็น”

เขาตัดบทรวดเร็วพร้อมมองไปทางประตู เหมือนเป็นการไล่ทางอ้อมแล้วหล่อนก็ไม่คิดจะหน้าด้านอยู่ พยักหน้าเข้าใจแล้วเดินออกจากห้องทำงานของคู่หมั้น เบิกตากว้างไม่ยอมกระพริบกลัวน้ำตาที่คลอเบ้าจะไหลออกมาประจานความอ่อนแอ

เลือกจะถามเองแล้วจะมาเจ็บปวดทำไม...

ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่ได้ถอดใจเลยสักนิด งานแต่งจะถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้จะไม่ได้รับความรักแต่เราสองคนก็ต้องตกล่องปล่องชิ้นกันอยู่ดี จึงไม่พลาดที่จะถือข้าวของเต็มสองมือเพื่อมารับประทานอาหารเที่ยงร่วมกับคู่หมั้น

เธอส่งยิ้มมาแต่ไกลเมื่อพบกับเลขานุการนั่งอยู่หน้าห้องรองประธานบริษัท คนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีเพราะเธอมักจะมาหากวินบ่อยจนสนิทสนมกับอีกฝ่ายไปด้วย คุณรุ้งราย ภพฤดีผู้มากประสบการณ์ในงานด้านเลขามากกว่าสิบปี อายุเข้าเลขสี่แต่ใบหน้ายังสวยเหมือนวัยเลขสาม คุณแม่ลูกสองที่หุ่นยังเป๊ะจนเธอยังอาย ได้พูดคุยกันบ่อยจนกลายเป็นสนิทสนมไปแล้ว เหมือนว่าเธอมีพรรคพวกในที่ทำงานของเขา อยากรู้อะไรเพียงแค่ถามก็ทราบหมดทุกอย่าง

เมื่อได้รับก็ไม่ลืมที่จะตอบแทน หล่อนยืนตรงหน้าคนอายุมากกว่าแล้วค้อมศีรษะเป็นการทักทาย หยุดยืนตรงหน้าเลขานุการคนเก่ง

“สวัสดีค่ะคุณรุ้งราย กินข้าวเที่ยงหรือยังคะ” ถามเสียงสดใสเหมือนอย่างเคย ทำให้คนมองยิ้มตามก่อนจะลุกจากเก้าอี้ตัวนุ่ม

“ยังเลยค่ะ กำลังจะลงไปกินพอดี” ถึงเวลาอาหารเที่ยงจึงคิดจะลงไปรับประทานที่ร้านอาหารข้างล่างกับเพื่อนที่อยู่ต่างแผนก

“อาหารเที่ยงค่ะ แยมทำมาให้เรียบร้อยแล้ว รับรองว่าอร่อยเหาะค่ะ” แต่กลายเป็นว่าในบรรดาถุงมากมายที่หญิงตรงหน้าถือไว้ กลับมีอาหารเที่ยงของเธออยู่ด้วย เจ้าตัวค่อนข้างตกใจพอสมควรแต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายสักเท่าไหร่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel