๒ ภาพฝันที่ต่างกัน (๔)
เข้าร้านสะดวกซื้อทีไรมักจะมีลูกอมติดมือไปฝากพี่ชายที่เอาแต่อ่านหนังสือในห้องเพียงลำพัง แล้วเจ้าตัวก็รับไปทุกครั้งทำให้เธอมั่นใจว่าอีกฝ่ายชอบ เมื่อมีโอกาสจึงได้ลองทำลูกอมด้วยตัวเองพร้อมนำมาให้คนที่ชอบ
“ความจำผิดเพี้ยนหรือไง” หยิบลูกอมมาพินิจก่อนหันไปถามเธอ
“ไม่ผิดนะ แยมจำได้ว่าซื้อลูกอมไปให้พี่” ย่นคิ้วแล้วคิดถึงเรื่องในอดีต
คิดว่าตัวเองไม่ได้จำผิดเรื่องที่เขาชอบลูกอม ถ้าไม่ชอบแล้วจะรับเอาไว้ทำไมล่ะ จึงตีความได้อย่างเดียวว่าพี่ชายตรงหน้าชอบของหวาน ซึ่งความทรงจำของเธอหยุดแค่นั้นลืมเสียสนิทเรื่องที่ตัวเองเป็นฝ่ายอยากได้สติ๊กเกอร์จึงได้ซื้อลูกอม โดยเอาชื่อของกวินเป็นข้ออ้างต่างหาก
“เธอซื้อเพราะตัวเองอยากได้สติ๊กเกอร์มากกว่า ที่เอาลูกอมมาให้พี่ก็เพราะว่าไม่ชอบกินไม่ใช่หรือไง” ทวนความจำที่ตนไม่ลืมแต่กลายเป็นว่าร่างบางที่ลืมไปแล้ว หล่อนนิ่งไปสักพักแล้วรื้อฟื้นความทรงจำ ค่อยจำได้ว่าถูกมารดาห้ามปรามไม่ให้ซื้อลูกอมเพราะกลัวจะกินจนฟันผุ เมื่อก่อนลูกสาวไม่ค่อยชอบแปรงฟันเท่าไหร่จึงมักถูกห้ามเรื่องกินของหวานเสมอ
แต่เพราะอยากได้สติ๊กเกอร์จึงตัดสินใจเอาชื่อของเขาเป็นข้ออ้างเพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง แล้วก็สำเร็จมารดายอมให้ซื้อจนได้
ลูกอมเหล่านั้นจึงได้เติบโตจนเต็มขวดโหลแก้วของเขา ซึ่งตอนนี้ก็ยังอยู่ที่เดิมกลายเป็นของตกแต่งห้อง เพียงแต่หญิงสาวไม่ทราบเท่านั้น
“จำไม่เห็นได้เลย...” แสร้งเฉไฉทั้งที่ความจำทั้งหมดกลับมาแล้ว เขาเห็นอย่างนั้นก็นึกเอ็นดูเธอจนอดจะยิ้มออกมาไม่ได้
“หึ” แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏต่อสายตาของกุลิสราจนหล่อนเบิกตากว้าง กลัวว่าตัวเองอาจจะมองผิดหรือตาฝาด จึงรีบขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าหล่อแล้วถามเสียงดัง ลืมเรื่องระยะห่างของเราไปเสียสนิทจนร่างสูงจำต้องขยับออกห่างจากหล่อนเล็กน้อย
“พี่กวินยิ้มเหรอ!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เปล่า” เลือกปฏิเสธแล้วกลับมาตีหน้าขรึมเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เธอไม่ยอมปล่อยให้เขาโกหกอีกต่อไป ยังคงเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนห่างกันเพียงคืบ มั่นใจกับสายตาของตัวเองว่าไม่ได้มองผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน
เธอเห็นคู่หมั้นของตนเผยรอยยิ้มออกมา...
“เมื่อกี้ยิ้ม หนูเห็นจริงนะเมื่อกี้ยิ้มแน่ๆ ปากยกขึ้นแบบนี้เลย หนูตาไม่ฝาดหรอก” คิดจะไล่บี้จนเขาตอบแต่ร่างหนาเหนือจะดันไหล่บางออกห่างแล้วหันไปหยิบจานข้าวมาวางตรงหน้า เริ่มรับประทานอาหารโดยที่สีหน้าเรียบเฉยติดเย็นชากว่าเมื่อครู่เสียอีก
“กินข้าวเถอะ”
“ค่ะ”
แล้วอย่างนี้เธอจะกล้าขัดได้ยังไงล่ะ
หญิงสาวจึงเลือกรับประทานอาหารเพราะตนก็เริ่มหิวแล้ว แต่ก็หันไปมองเขาบ่อยครั้งเพื่อจับตาดูว่าอีกฝ่ายจะยิ้มหรือเปล่า แต่ดวงหน้าคมกลับเรียบเฉยเหมือนเดิมจนเธอคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไปก็ได้ คนอย่างกวินน่ะหรือจะยิ้มให้ตน
มือหนาเอื้อมไปตักอาหารหลากหลายเมนูมารับประทาน ส่วนมากมีแต่ของที่เขาชอบทั้งนั้น ซึ่งหล่อนเป็นคนเข้าครัวเพื่อกำชับแม่บ้านให้ทำตามเมนูที่ต้องการ ตัวเองทำอาหารไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางของหวานเสียมากกว่า
“ความจริงเธอไม่ต้องทำอาหารมาให้พี่ก็ได้ แถวนี้มีร้าวข้าวเยอะแยะเดี๋ยวพี่สั่งกินเอง” เริ่มบทสนทนาระหว่างกินข้าว เธอหันมามองเสี้ยวหน้าหล่อก่อนจะตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวจนหมดค่อยตอบเขาตามความรู้สึกจริงของตัวเอง
“อยากมานี่คะ” มือหนาถึงกับชะงัก บางทีเธอก็พูดตรงเกินไปจนเป็นเขาเองที่ไปไม่เป็น ไม่รู้ว่าควรต่อบทสนทนาอย่างไรดี
“ไม่เหนื่อยเหรอ” หันมามองเขาด้วยความสงสัยกับคำถาม
“คะ”
“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่เหนื่อยหรือไง...ยังไงเราก็แต่งงานกันอยู่แล้วเธอไม่จำเป็นที่ต้องทำอะไรเพื่อพี่มากนักหรอก” กำแพงหนาที่เขาก่อเพื่อกั้นเราเอาไว้ไม่ให้ใกล้กันมากกว่านี้เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวเองก็พอจะรู้ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรกับตัวเอง
ทว่าเป็นหล่อนที่เห็นแก่ตัวอยากครอบครองร่างสูง จึงไม่ได้สนใจในความจริงข้อนี้ ว่ามีเพียงตนที่เป็นฝ่ายรักข้างเดียวมาตลอด
“ที่หนูทำให้พี่เพราะเต็มใจ” บอกเสียงหนักแน่น
“ถ้าหนูเหนื่อยเมื่อไหร่เดี๋ยวหยุดเอง” ก่อนย้ำอีกครั้งทำให้เขาจนใจจะพูดกับหญิงสาว กลับมารับประทานอาหารโดยไม่ชวนคุย ปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเราเป็นความเงียบ กระทั่งหล่อนทนไม่ไหวต้องเอ่ยบางสิ่งเพื่อทำลายความอึดอัด ทั้งยังอยากย้ำถึงนัดของเราที่ใกล้จะมาถึงในเร็ววัน
“พี่กวินอย่าลืมนะคะว่าอาทิตย์หน้าเรามีนัดลองชุดแต่งงาน” เพียงแค่คิดก็ยิ้มออกมาทันที เธอเลือกจะเช่าชุดกับร้านที่รู้จัก แบบไม่ซ้ำคนอื่นอย่างแน่นอนเพราะเวลาค่อนข้างกระชั้นชิดกลัวว่าถ้าสั่งออกแบบและตัดออกมาจะไม่ทันเวลา จึงเลือกทางที่ง่ายสุดคือการเลือกจากร้านเช่า
ไม่สนใจเรื่องชุดเท่าไหร่ แค่ได้แต่งงานกับเขาก็ถือว่าเหนือความคาดหมายแล้ว
“อือ” ตอบรับแสนสั้นแล้วพยักหน้าแบบขอไปที
“ห้ามไปสายนะ” เธอยังคงย่ำเหมือนเดิม แล้วเขาก็ตักอาหารเข้าปากก่อนตอบคล้ายเหนื่อยหน่าย หล่อนเห็นอย่างนั้นก็เริ่มน้อยใจ เพราะดูเหมือนว่าทุกอย่างตนพยายามอยู่แค่ฝ่ายเดียว เขาไม่แม้แต่จะหันมามองกันด้วยซ้ำ
“รู้แล้ว”
“พี่กวินคะ...” วางช้อนส้อมไม่อยากอาหารเลยสักนิด หล่อนเลือกจะเอียงตัวเพื่อให้มองเขาได้ถนัด เรียกชื่อของคู่หมั้นหนุ่มหล่อเสียงเบา ด้วยความที่นั่งใกล้กันเขาจึงได้ยินเสียงเรียกชัดเจน แต่ก็ไม่ได้หันไปมองหล่อน
“อือ” ทำเพียงแค่ขานรับในลำคอ
“รักหนูบ้างหรือยัง แค่...แค่นิดหน่อยก็ยังดี” เจ้าตัวส่งแววตาอ้อนพร้อมขยับเข้าใกล้แต่เป็นเขาเองที่ผละออกห่าง ไม่ยอมหันมาสบตาเธอทั้งยังเลือกหยิบน้ำขึ้นมาดื่มเป็นการปิดจบอาหารมื้อนั้น พร้อมกับเมฆหมอกขุ่นมัวที่โอบล้อมพวกเราเอาไว้
“รู้คำตอบแล้วจะถามทำไม ถามไปก็มีแต่เธอที่เจ็บไม่ใช่เหรอ ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว”
นั่นสินะ...ทั้งที่เธอรู้ดีอยู่แล้วยังจะถามเขาทำไม
กวินไม่มีวันรักเธอ เหมือนอย่างที่เธอรักเขาหรอก เลิกหวังลมๆ แล้งๆ ได้แล้ว...
