๒ ภาพฝันที่ต่างกัน (๑)
๒
ภาพฝันที่ต่างกัน
ไม่นึกว่าเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ชายหนุ่มขึ้นนั่งตำแหน่งรองประธานบริษัทหลังจากตรากตรำเรียนรู้งานมาหลายสิบปี ความสามารถของเขาเป็นที่ยอมรับแต่บิดาก็ไม่ได้ปล่อยให้ดูแลทั้งหมด ท่านยังคงนั่งตำแหน่งเดิมเพื่อรอเวลาเหมาะสมเพื่อมอบหมายงานทั้งหมดให้บุตรชายคนโตที่นับวันก็ยิ่งมีอำนาจบารมีมากกว่าเดิม
ความสง่างามของเขาเรียกสายตาของสาวในบริษัทให้หันมามองได้ไม่ยาก แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ท่านรองฯ เลยสักคนเพราะรู้ดีว่ามีคนที่คู่ควรเหมาะสมกับเขา ลูกสาวเพียงคนเดียวของบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ที่รุ่นพ่อแม่เป็นเพื่อนกัน จึงส่งต่อมายังรุ่นลูกที่สนิทสนมจนกลายเป็นเกี่ยวดอง
พิธีหมั้นของกวินและกุลิสราจัดขึ้นในช่วงเช้าตามฤกษ์มงคล สถานที่คือบ้านเจ้าสาวโดยเนรมิตสวนให้สวยงามเพื่อต้อนรับแขก มีแท่นพิธียกขึ้นสูงจากพื้น เก้าอี้นับห้าสิบตัวจัดเรียงไว้เป็นระเบียบเพื่อต้อนรับแขกคนสนิทที่มีเพียงญาติและเพื่อนของบ่าวสาวเท่านั้น ไม่เน้นจำนวนคนเยอะอยากให้ความสำคัญคนใกล้ชิดมากกว่า
อย่างไรก็ต้องจัดพิธีฉลองมงคลสมรสในอีกสามเดือนข้างหน้าอยู่แล้ว วันนี้แค่หมั้นหมายเพื่อจับจองหญิงสาวคนสวยเอาไว้เท่านั้น ทั้งยังเป็นการเปิดโครงการใหม่ที่สองบริษัทยักษ์ใหญ่มีร่วมกันอีกต่างหาก จึงได้รับความสนใจจากบุคคลภายนอกมากพอสมควร
งานเริ่มตามเวลาพร้อมการปรากฎตัวของเจ้าบ่าวในชุดเจ้าบ่าวไทยประยุกต์ซึ่งเป็นการออกแบบให้ชุดมีความร่วมสมัยมากขึ้น ด้านบนสวมเป็นเสื้อสูทที่เป็นสากลแต่ใช้ผ้าไทยในการตัดเย็น ชุดด้านล่างเป็นโจงกระเบนสำเร็จรูปที่เข้าสีกัน ผมทรงอันเดอร์คัทเซ็ทให้เปิดใบหน้าจึงเห็นความหล่อชัดเจน คนที่แอบมองจากหน้าต่างห้องแย้มยิ้มกว้างยามเจ้าบ่าวเดินผ่านประตูเงินประตูทองเพื่อเข้ามาหาเธอ
ร่างสูงนั่งลงตรงแท่นเวทีซึ่งยกสูงกว่าพื้นเพื่อรอเจ้าสาว ไม่นานนักหล่อนก็เดินเข้ามาในชุดไทยสีหวานกับผมหนาที่เกล้าขึ้นกับปิ่นรูปหงส์ที่เข้ากับหล่อนเหลือเกิน ดวงตาคมจ้องคนมาใหม่ก่อนเบนสายตามองทางอื่น ทำให้รอยยิ้มที่ส่งไปหาเขาค่อยหุบลงทีล่ะน้อย
งานดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ บ่าวสาวสวมแหวนให้กันโดยใบหน้าคมยังเรียบนิ่ง ไม่มีความยินดียินร้ายต่างจากเจ้าสาวคนสวยซึ่งอมยิ้มอยู่เสมอบ่งบอกถึงความสุขในตอนนี้ของตัวเอง
“เจ้าบ่าวขยับเข้าไปใกล้เจ้าสาวอีกหน่อยนะครับ ดีครับ...สวยมากครับ” ถึงเวลาถ่ายรูปรวมกันบนเวทีแต่ช่องว่างระหว่างคู่รักกลับห่างจนช่างภาพต้องเป็นฝ่ายจัดแจง เขาถึงได้ขยับเข้ามาใกล้เธอแล้วยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยไม่ให้หน้าตึงจนเกินไป เหลือบมองหญิงสาวที่สวมชุดไทยนั่งข้างกาย ก่อนจะรีบหันหน้าตรงเมื่อเธอเป็นฝ่ายหันมามองบ้าง
พวกเขาถ่ายรูปจนพอใจแล้วค่อยออกมาต้อนรับแขก บ่าวสาวเดินเคียงกันช่างเหมาะสมเหลือเกินในสายตาของคนนอก มือบางคล้องแขนเขาไว้ตลอดเวลา ใบหน้าเปื้อนยิ้มฉายแววความสุขเพราะรอเวลานี้มานานเหมือนกัน
กว่าจะถึงวันที่เราสองคนพัฒนาจากพี่น้องเป็นคู่หมั้น...
“พี่กวินหิวไหม” หันมาถามคนที่เพิ่งได้พักจากการเดินคุยกับคนสนิทด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รู้ดีว่าเขาทำตามมารยาทไม่ได้มีความสุขจากใจจริง ถึงจะเจ็บปวดแต่ก็ต้องนอมรับความจริงว่างานแต่งครั้งนี้ไม่ได้มาจากความเต็มใจของร่างหนา
เป็นความต้องการของผู้ใหญ่แล้วเขาก็แค่ทำตามเท่านั้น ทว่าอย่างน้อยก็ทำให้เราอยู่ใกล้กันมากกว่าเดิม เธอสามารถทำตามใจตัวเองได้เต็มที่เพราะอีกไม่นานก็จะได้สถานะภรรยามาครองแล้ว ถึงจะต้องรออีกสามเดือนก็ตาม
รอมาหลายปีจะรออีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก...เธอรอเก่งอยู่แล้วนี่น่า
“ไม่ค่อยหิว” ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนมองคนตัวเล็กกว่า เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าเธอรับประทานอาหารหรือยังเพราะเพิ่งเจอกันไม่นาน จึงจำเป็นต้องถามกลัวว่าเจ้าสาวจะยังไม่กินข้าวแล้วเป็นลมเสียก่อน
“เธอกินข้าวหรือยัง” คนถามไม่ได้คิดอะไรแต่คนฟังกลับหัวใจพองโต เธอพยักหน้าขึ้นลงพร้อมแสดงอาการประกอบด้วยการลูบหน้าท้องตัวเอง
“กินแล้ว ยัดจนแน่นไปหมดล่ะเนี่ย” ชุดค่อนข้างหลวมจึงกินได้ตามใจต้องการ แต่ก็กินได้ไม่มากเพราะอยู่ในช่วงตื่นเต้น กลัวว่างานจะล่มเสียก่อนยังดีที่ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงจนเธอได้กอดแขนเขาในฐานะเจ้าสาวสมใจ
ระหว่างที่เดินทักทายคนในงาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจนต้องผละออกจากหล่อน ดวงตากลมฉายแววเสียดายอย่างเห็นได้ชัด ทอดมองเขาแล้วรีบถามเมื่อเห็นร่างสูงกำลังจะเดินเลี่ยงออกไป ผวาจะตามเขาไปด้วยแต่เพื่อนสนิทกลับเดินเข้ามาหาก่อน
“พี่กวินจะไปไหนคะ”
“ทำงาน...อยู่กับคีนไปเถอะ” หันมองน้องชายแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายคล้ายฝากฝัง ค่อยเดินเลี่ยงไปคุยโทรศัพท์โดยมีสายตาของกุลิสราจ้องมองแทบตลอดเวลา เธอถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีคำใดเอ่ยถึงตอนนี้จะอยู่กับเพื่อนก็ตาม
“ทำไม อยู่กับฉันแล้วเศร้ามากเลยเหรอ” อดไม่ได้ที่จะถาม พยายามสุดความสามารถที่จะซ่อนใบหน้าซึ่งมีร่องรอยแห่งความหงุดหงิดเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจทำได้ทั้งยังประชดประชันใส่เพื่อนผู้หญิงที่เป็นเจ้าสาวจนเธอหน้าหงอยลงมากกว่าเดิม
“พี่กวินจะรักฉันบ้างไหม” เป็นคำถามที่ยากจะตอบ แล้วเขาก็ไม่ใช่เจ้าตัวที่จะตอบแทนกันได้ แต่ตอนนี้หากพูดตามที่คิดก็กลัวว่าหล่อนจะร้องไห้ จึงเลือกตอบอย่างขอไปทีพลางยกมือล้วงกระเป๋า มองไปรอบงานที่อบอวลไปด้วยความรัก
น่าหงุดหงิดชะมัดเลย...
“ไม่รู้ รักมั้ง”
“จริงเหรอ! นายรู้ได้ยังไงว่ารัก พี่กวินบอกว่าเคยรักฉันเหรอ จริงหรือเปล่านายอย่ามาหลอกให้ฉันดีใจเล่นนะ” ถามเสียงตื่นเต้นแววตากลับมาเป็นประกายอีกครั้ง เขาเห็นอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรเพราะไม่อยากให้รอยยิ้มของคนตรงหน้าหายไป จึงเลือกเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบเก้าอี้ใกล้ตัวมาให้เธอนั่ง คิดว่าคงเมื่อจากการรับแขกมานาน
“ก็เดาน่ะ แค่เดา...ไปนั่งพักเถอะรับแขกมาทั้งวันแล้ว”
จำยอมนั่งลงตามความต้องการของอีกฝ่าย จ้องมองคีตภัทรไม่วางตาแล้วขยับเข้ามาใกล้เมื่อเขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างกัน
“คีน พี่กวินจะรักฉันใช่ไหม”
