๑ สามีในอนาคต (๔)
ข้ออ้างน่ะสิ...
“ไม่ได้ชอบ”
“ชอบ” คนเป็นน้องตอบกลับรวดเร็วเมื่อได้ยินพี่บอกว่าไม่ชอบลูกอม ใบหน้าหวานเริ่มบูดบึ้งทำให้เขาต้องรีบย้ำอีกรอบ แววตากลมยิ่งโตกว่าเดิมยามจ้องมองเขาแล้วพยายามใช้เสียงดังเข้าข่ม ดูก็รู้ว่าอยากเอาชนะมากแค่ไหน
“ไม่...”
“ชอบ!”
แล้วเขาก็คร้านจะต่อปากต่อคำกับเด็ก จำต้องรับลูกอมเอาไว้เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวมีเจตนาที่ดี ถึงจะใช้เขาเป็นข้ออ้างก็ตาม ดวงตาที่เบิกกว้างจึงค่อยลดลงกลายเป็นยิ้มตาปิด บ่งบอกว่ามีความสุขมากแค่ไหนกับการที่พี่ชายรับลูกอมไว้
“ขอบคุณที่ซื้อมาให้ครับ” ตอบเสียงนุ่มที่ทำให้คนฟังยิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะซื้อมาให้เยอะๆ เลยนะ” จนเขาเผลอมองเธอแล้วรีบก้มหน้าอ่านหนังสือ เพื่อซ่อนรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้
บางทีรสชาติของลูกอมก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิด...
ลูกอมที่ได้จากหญิงสาวถูกขำไปใส่ไว้ในขวดโหลแก้วซึ่งตั้งอยู่ในห้องนอนของเขา ร่างสูงแกะกินแค่เม็ดเดียวแล้วพบว่ามันมีรสชาติหวานเลี่ยนจนเลือกจะเก็บไว้มองน่าจะดีกว่า เพราะหญิงสาวมักจะใช้เขาเป็นข้ออ้างแล้วนำลูกอมมาให้ทุกครั้งยามพบหน้า
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลูกอมเพิ่มจำนวนจนตอนนี้เก็บได้ครึ่งขวดโหลแล้ว เผลอมองทุกครั้งยามที่เคร่งเครียดจากการอ่านหนังสือมากเกินไป เหมือนได้เพิ่มพลังแล้วก้มอ่านหนังสือต่อไป กระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูเพียงแค่หนึ่งครั้งก่อนเปิดเข้ามา ทำให้เจ้าของห้องนึกถอนหายใจก่นด่าตัวเองที่ลืมล็อค
ไม่หันไปมองก็รู้ว่าใครเดินเข้ามาในห้อง แต่ที่สงสัยคือน้องชายที่ไม่ค่อยย่างกรายเข้ามารบกวนเขาทำไมจึงได้มาหากัน คีตภัทรล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างโดยไม่พูดอะไร ก่อนยันกายลุกนั่งเพราะความเงียบที่ชวนอึดอัด เขามีพี่ชายแต่เหมือนเราไม่สนิทกันเพราะอีกฝ่ายเอาแต่เรียนหนังสือ วันหยุดแทนที่จะได้เล่นสนุกเหมือนเด็กคนอื่นกลับถูกบิดาเรียกไปเรียนรู้งาน
เขาไม่ได้อิจฉาพี่กลับรู้สึกตรงกันข้ามมากกว่า...
โชคดีแล้วที่ตนเป็นน้อง ถ้าเกิดก่อนก็คงไม่สบายขนาดนี้หรอก แค่คิดว่าต้องอ่านหนังสือทั้งวันแล้วไปเรียนรู้งานก็เริ่มปวดตุบที่ขมับแล้ว
“พี่ชอบกินลูกอมด้วยเหรอ” เพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะมีของชิ้นหนึ่งที่ไม่เข้าพวกเอาเสียเลย จึงรีบเดินไปหยิบขวดโหลขึ้นมาดูกลับถูกคว้ากลับไปวางที่เดิม จนน้องชายต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ก็อร่อยดี”
“ขอได้ไหม” กำลังจะคว้าขวดนั้นอีกครั้ง กลับถูกตีมือพร้อมตวัดตามองอย่างไม่ชอบใจ เพียงเท่านั้นคีตภัทรก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยล้ออีกฝ่าย
“ไม่ได้”
“ขี้หวงว่ะ” ไม่รู้ว่าทำไมพี่ถึงหวงขนมมากขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่ได้อยู่กวนอีกฝ่ายเลือกจะออกจากห้องพร้อมกับแกล้งปิดหนังสือของพี่ จนกวินต้องหันมามองดุก่อนลุกขึ้นล็อคประตูเอาไว้แน่นหนา เพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามารบกวนได้อีก
ช่วงวันหยุดของเขาไม่ได้เล่นสนุกเหมือนเพื่อน หากไม่อ่านหนังสือก็ไปเรียนรู้งานบริษัท ไม่เช่นนั้นก็เรียนรู้มารยาททางสังคม รู้จักการสวมหน้ากากเข้าสังคมตั้งแต่ยังเด็กจนแยกความรู้สึกจริงแทบไม่ออกแล้ว ตอนที่เขายิ้มมีความสุขจริงหรือแค่เล่นไปตามน้ำกันแน่
ร่างหนายังคงอ่านหนังสือเหมือนเดิมพร้อมกับสลับมองไปยังบานประตูบ่อยครั้งจนเริ่มเสียสมาธิ เขาถอนหายใจเบื่อหน่ายตัวเองก่อนตั้งสติอีกครั้ง จมกับตัวหนังสือแล้วเพลิดเพลินไปกับการแก้โจทย์วิชาคณิตศาสตร์ที่ตัวเองถนัด
กระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูทำให้เขาทำเพียงแค่เหลือบมอง มุมปากหยักยกยิ้มก่อนจะกลับมาเรียบเฉยดังเดิม คิดไว้แล้วว่าหล่อนจะต้องเข้ามาอย่างแน่นอนแล้วก็ไม่ผิดจากที่คิดเอาไว้ เด็กหญิงยังคงเดินมาหยุดตรงหน้าเขาพร้อมกับปีนเก้าอี้เพื่อให้ได้สบตากัน
“พี่กวิน...อ่านหนังสือเหรอ” ยังคงถามเหมือนทุกครั้งที่เข้ามา
“ใช่” เขาเองก็ตอบเหมือนเดิมตลอด ประหยัดคำพูดจนคนมาใหม่ต้องถอนหายใจ ก่อนลงจากเก้าอี้แล้วเดินมายืนข้างคนที่กำลังอ่านหนังสือ
“หนูเอาลูกอมมาให้ค่ะ” วางลูกอมไว้บนหนังสือของเขาแล้วรีบขยับออกห่าง กลัวพี่ชายจะปฏิเสธแต่คราวนี้เขากลับรับไปโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม นอกจากคำขอบคุณไร้รอยยิ้มเหมือนทุกคราว แต่ไม่รู้ทำไมถึงทำให้เธอยิ้มออกมาได้
“ขอบคุณครับ”
พี่ชายสุดหล่อไม่เห็นน่ากลัวอย่างที่เพื่อนเธอบอกไว้เลย ถึงจะเงียบไปบ้างไม่ค่อยยิ้มบ่อยแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธตนเลยสักครั้ง มีความอบอุ่นอ่อนโยนมากพอสมควร จนตอนนี้เด็กหญิงก็ไม่สามารถละสายตาจากคนอายุมากกว่าได้
“พี่กวินมีแฟนหรือยัง” คราวนี้เดินมาเกาะเก้าอี้แล้วถามเขา อยู่ใกล้จนได้กลิ่นหอมจากคนพี่ น่าแปลกที่รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่มี” นึกสงสัยว่าทำไมจึงถูกถามเช่นนี้ แต่ไม่ทันจะถามกลับคนตัวเล็กกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียเอง
“โตขึ้นเราแต่งงานกันนะ” กวินถึงกับใจกระตุก เขาโตพอจะรู้จักว่าการแต่งงานคืออะไรแต่เหมือนเด็กหญิงจะยังไม่ทราบ จึงสามารถพูดออกมาหน้าตาเฉยได้ ราวกับชวนเล่นขายของจนเขาต้องวางปากกาในมือลง แล้วหันมาสนใจเธอ
“ทำไม”
“ก็พี่กวินใจดี หนูอยากแต่งงานกับพี่กวิน”
ว่าแล้วเชียว...เด็กอายุแค่นี้จะรู้เรื่องแต่งงานได้อย่างไร
“ใจดีมันคนล่ะเรื่องกับต้องแต่งงาน เราต้องแต่งกับคนที่เรารักสิถึงจะถูก” บอกน้องไปแบบนั้นแต่ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบกลับที่ทำให้เขาอึ้งกว่าเดิม กลายเป็นความเงียบไปชั่วขณะระหว่างเราสองคน ก่อนเธอจะยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
“งั้นหนูรักพี่กวิน!”
ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเคยบอกรัก ผู้หญิงที่โรงเรียนหลายคนเดินมาสารภาพหลายต่อหลายครั้ง เพียงแค่เขาไม่เคยตอบรับใครเลยสักคน เพราะรู้ดีว่าหน้าที่ของตัวเองคือตั้งใจเรียนเพื่อขึ้นนั่งตำแหน่งสำคัญ ช่วยแบ่งเบาภาระงานของบิดา
ความรักจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องโฟกัสในตอนนี้...
“ถ้าหนูโตเมื่อไหร่เรามาแต่งงานกันนะคะ พี่กวินจะเป็นเจ้าบ่าวของหนู”
เขาเพิ่งรู้เมื่อผ่านไปสิบแปดปีว่าสิ่งที่เธอพูดไม่ใช่แค่การล้อเล่น หญิงสาวทำตามที่พูดได้จริง
แล้วเจ้าสาวของเขาก็คือกุลิสรา ยสุตมา!
