๑ สามีในอนาคต (๒)
พ่อเข้ามาเพื่อดูความคืบหน้าของบทเรียน พร้อมทั้งสอนเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว ส่วนแม่บ้านก็เข้ามาเสิร์ฟของว่างระหว่างอ่านหนังสือ แม่ไม่เข้ามาส่วนน้องก็ไม่เฉียดใกล้ประตูห้องด้วยซ้ำ เธอจึงเป็นคนแรกที่เข้ามาชวนคุย
ความมืดที่เริ่มมีแสงสว่าง...
แต่ก็ไม่ได้เจิดจ้าจนแสบตา เหมือนแดดอุ่นที่ได้รับในยามเช้าของฤดูหนาว
“ไม่ต้อง” ตอบเสียงเบาแล้วละสายตาจากคนอายุน้อยกว่า เธอเห็นอย่างนั้นก็ทำหน้าหงอยลงแต่ยังไม่ยอมแพ้
รู้สึกถึงความน่าสนใจของห้องแล้วก็พี่ชายตรงหน้า ไม่ได้คุยกันบ่อยนักแต่ก็เห็นหน้าค่าตาตลอด พี่ชายสุดหล่อที่ชอบทำหน้านิ่งเฉย ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์ช่วยเธอปกปิดเรื่องที่อยู่ไม่ให้เพื่อหาพบ จึงอยากตอบแทนด้วยการนั่งเป็นเพื่อน แม้ตัวเองไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือก็ตาม
เห็นหนังสือทีไรเป็นต้องตาปรือพร้อมหลับเสียทุกที แต่เมื่อพี่ชายให้ความช่วยเหลือไม่ยอมปริปากบอกคีตภัทรว่าตนซ่อนอยู่ในห้อง ทั้งยังช่วยไล่ไปอีกต่างหากถึงจะไม่มีคำไล่ก็เถอะ คนที่แอบเงี่ยหูฟังตลอดเวลาถึงกับกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
ซ่อนตัวในห้องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไป
ไหนคีตภัทรบอกว่าห้องนี้น่ากลัว พอได้เข้ามาจริงกลับไม่เห็นน่ากลัวอย่างที่คิดเอาไว้เลย เพื่อนของเธอโกหกแล้ว
“ง่า อ่านคนเดียวไม่เหงาเหรอคะ มาทีไรก็เห็นพี่อ่านหนังสืออยู่ในห้องนี้ตลอดเลย รู้สึกเหมือนถูกขังยังไงไม่รู้ ไปเล่นข้างนอกกับหนูไหม เดี๋ยวหนูเล่นเป็นเพื่อน” ขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยอาสา ปากอวบอิ่มยกยิ้มจนคนมองเผลอนึกว่ามันเหมือนพระจันทร์เสี้ยวที่เขาเคยมองผ่านหน้าต่างห้องตอนกลางคืน
รอยยิ้มของพระจันทร์...
“ไม่” รีบปัดความคิดฟุ้งซ่านออกอย่างรวดเร็ว แล้วก้มอ่านหนังสือต่อไปไม่อยากให้ปัจจัยภายนอกมารบกวนสมาธิ เขากำลังจะจมเข้าไปในโลกของประวัติศาสตร์ หากไม่ใช่เพราะมีลูกอมสีชมพูยื่นมาตรงหน้า สายตาจึงละจากหนังสือแล้วหันไปมองหล่อนด้วยความไม่เข้าใจ
“ลูกอมค่ะ” คิดว่าคนอายุมากกว่าไม่ทราบว่ามันคือลูกอม จึงบอกย้ำจนเขาเผลอหลุดขำก่อนตีหน้าขรึมเหมือนเดิม
เขาไม่ได้โง่เสียหน่อยถึงจะไม่รู้ว่านั่นคือลูกอม เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเธอให้ทำไม อีกทั้งส่วนตัวก็ไม่กินของหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“พี่ไม่กิน” ปฏิเสธแล้วคิดจะปัดลูกอมออกจากหนังสือของตนเพราะเด็กหญิงนำมาวางไว้เรียบร้อย แต่พอมองเห็นแววตาเป็นประกายที่หม่นลงก็เผลอถอนหายใจเสียงเบา จำต้องหยิบลูกอมเข้ากระเป๋าจึงได้รอยยิ้มแสนสวยกลับคืน
เด็กหนอเด็ก...อารมณ์แปรปรวนเดาง่ายเสียเหลือเกิน
“ขอบคุณที่ไม่บอกคีนว่าหนูซ่อนอยู่ในนี้” ขยับกลับมานั่งเก้าอี้ตามเดิม ช่วงขาที่สั่นทำให้เท้าแตะไม่ถึงพื้น เธอตีขาไปมากลางอากาศแล้วนั่งอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายสักพัก คำขอบคุณที่คนฟังคล้ายไม่สนใจเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองแทบไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง
ความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา เป็นปกติของกวินที่มักจะเงียบแล้วนั่งอ่านหนังสือ ไม่เหมือนเด็กหญิงที่ชอบความสนุกสนาน ทุกอย่างเงียบเกินไปทั้งยังกลัวรบกวนพี่ชายของเพื่อนจึงคิดจะลงจากเก้าอี้แล้วออกไปข้างนอก
“จะออกไปตอนนี้เหรอ” กลับถูกถามจากคนที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ เหมือนไม่สนใจกัน
จากตอนแรกที่คิดจะออกไปก็กลัวว่ากวินจะเหงา จึงเลือกนั่งลงเหมือนเดิมพร้อมกับเอ่ยถามเพราะนั่งเฉยก็ดูน่าเบื่อเกินไป อย่างน้อยก็อยากมีกิจกรรมทำบ้าง ถึงจะเป็นการอ่านหนังสือที่มีพยัญชนะเรียงกันยาวเหยียดก็ตาม
ชายหนุ่มไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเอ่ยถามเช่นนั้น เพียงแค่รู้สึกว่ามีอีกคนอยู่ด้วยก็ไม่ได้รบกวน กลับรู้สึกเหมือนว่าห้องที่เคยมืดมิดเริ่มมีแสงสว่างทีล่ะน้อย แล้วเขาก็เริ่มชอบแสงสว่างนั้นเสียแล้วจนไม่อยากให้หายไป
“อ่า ยังดีกว่า...หนูอ่านหนังสือเป็นเพื่อนพี่กวินได้ไหม”
“นิทานอยู่ชั้นสองตู้สาม” รู้ว่าเธอคงเหมือนน้องชายที่ไม่ชอบใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือ จึงชี้ไปยังชั้นที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมายจัดเรียงเป็นประเภท คิดว่าเธอน่าจะชอบนิทานจึงได้บอกไป คนตัวเล็กกว่าหันขวับมามองด้วยใบหน้างอง้ำ
“หนูโตแล้วนะจะอ่านนิทานทำไม ไม่อ่านหรอกจะอ่านหนังสือเรียนเหมือนพี่กวิน” พูดจบก็หยิบหนึ่งในหนังสือที่เขาต้องอ่านออกมาจากกงที่ตั้งอยู่ใกล้มือ ไม่รู้ว่าเป็นหนังสืออะไรแต่แค่เห็นว่าเป็นวิชาคณิตศาสตร์ที่ตัวเองแสนจะเกลียดก็ยิ้มแหยะ รีบเปลี่ยนเล่มอย่างรวดเร็วเป็นหนังสือภาษาไทย อย่างน้อยอ่านกาพย์กลอนก็น่าจะสนุกกว่าทำโจทย์น่าปวดหัวนั่นแหละ
โต๊ะอ่านหนังสือของเขาค่อนข้างยาว ทำให้คนนั่งข้างได้อานิสงค์ไปด้วย วางหนังสือไว้แล้วเพ่งสายตาอ่านถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม ไม่กี่นาทีผ่านไปก็ต้องใช้มือยันคางกับคำบรรยายแสนน่าเบื่อ ตาเริ่มปรือพร้อมกับศีรษะที่ผงกลงหลายรอบจนต้องเบิกตากว้างแล้วสั่งให้ตัวเองตื่น
“ไหนบอกว่าจะอ่าน สัปหงกแล้ว” อาการของเธอเรียกสายตาจากเขาได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มเผยยิ้มเอ็นดูโดยที่เจ้าตัวไม่เห็น ก่อนกลับมาตีหน้าขรึมเหมือนเดิมยามเธอทำหน้าเคลิ้มแล้วหันมามองเขา อาการพร้อมนอนเต็มที่แต่น่าเสียดายที่ห้องนี้ไม่มีโซฟา นอกจากเก้าอี้อีกสองตัวที่สามารถนำมาต่อเป็นเตียงขนาดแคบได้
“ก็หนูง่วง...”
“ง่วงก็นอนเถอะ ไม่มีใครเข้ามาในนี้หรอก” เขาไม่ได้มองเธอเลือกจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปยกเก้าอี้อีกสองตัวมาวางเรียงไว้ อำนวยความสะดวกเต็มที่ซึ่งไม่ใช่วิสัยของตนเลยสักนิด ยังนึกสงสัยว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร
แค่สงสารหล่อนอย่างนั้นหรือ...
แต่ไล่ออกไปก็ได้ไม่ใช่หรือไง อย่างไรห้องนี้ก็เป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวของเขา ไม่เคยให้ใครมายุ่มย่ามยกเว้นเด็กหญิงหน้าซื่อที่ทำตัวเหมือนคนไร้กระดูกพร้อมจะไหลตัวลงนอนได้ทุกเมื่อ อ่านหนังสือไปไม่ถึงสามสิบนาทีด้วยซ้ำ
“นอนได้เหรอคะ”
