๑ สามีในอนาคต (๑)
๑
สามีในอนาคต
สายตาจ้องมองตัวพยัญชนะภาษาไทยที่เรียงยาวอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่เขาไม่ถนัดมากที่สุด จึงต้องทบทวนบ่อยกว่าวิชาอื่นแม้ใจจะอยากทำโจทย์วิชาคณิตศาสตร์มากกว่าก็ตาม ถึงเขาจะทำคะแนนวิชาสังคมศาสตร์ได้ผ่านเกณฑ์จนได้เกรดสี่มาครอง แต่คะแนนกลับแค่คาบเส้นไม่ใช่เกือบเต็มหรือเต็มเหมือนวิชาอื่น
คนที่ถูกตีกรอบความสำเร็จเอาไว้จึงพยายามเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การสอบที่ใกล้จะมาถึงจำต้องทำคะแนนเพื่อให้ได้เต็มในวิชาที่ตัวเองไม่ถนัด จึงเลือกจะหมกตัวอยู่ในห้องทำงานของบิดาที่ถูกเปลี่ยนเป็นห้องอ่านหนังสือของบุตรชายคนโตอย่างกวิน เมธปิยาไปเสียแล้ว
อีกสองปีเขาก็ต้องไปเรียนที่ประเทศอังกฤษตามที่บิดาบอก ถึงไม่อยากจากบ้านเกิดแต่เมื่อได้ฟังข้อดีของการไปเรียนไกลบ้านที่ทำให้เขาได้เห็นโลกกว้างและเติบโตก็ยอมตอบรับโดยดี แต่ก่อนจะไปก็ต้องไม่ทำผลการเรียนในรั้วโรงเรียนตกต่ำ อย่างไรก็ต้องครองที่หนึ่งไปอีกสี่เทอมให้ได้
ห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มีตู้หนังสือวางเรียงจนเหมือนห้องสมุดขนาดย่อม มีหนังสือทุกประเภทให้เลือกอ่านทั้งยังหนังสือเก่าหายากเพราะบิดาเป็นคนชอบสะสมหนังสือ เขาจึงได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสาระหรือผ่อนคลายอย่างนวนิยายก็หยิบมาอ่านจนแทบหมดชั้นแล้ว
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบซึ่งเขาเองไม่ได้คิดว่ามันน่าเบื่อหรืออึดอัด ดำดิ่งไปกับเรื่องราวของประวัติศาสตร์แต่ละยุคสมัยกว่าจะมาถึงปัจจุบัน จดจำเรื่องที่อ่านแล้วจดลงไปในสมุดเพื่อย้ำเตือนอีกครั้ง โดยทำเป็นสรุปเพื่อให้เข้าใจง่ายแม้ตัวหนังสือจะไม่ต่างจากไก่เขี่ยก็ตาม
วันนี้ที่บ้านต้อนรับแขกสองคนคือเพื่อนรุ่นพี่ของมารดาและลูกสาวของท่าน ซึ่งหล่อนอายุเท่าน้องชายเขาทั้งสองจึงเป็นเพื่อนกัน คงเล่นซุกซนอยู่ที่ไหนสักแห่งของบ้าน ยังดีที่ไม่เสียงดังเข้ามาในห้องรบกวนสมาธิ
แต่พูดไม่ทันขาดคำประตูที่ปิดสนิทกลับถูกเปิดออก คนที่กำลังอ่านหนังสือเพลิดเพลินถึงกับหันไปมอง หรี่ตามองเด็กหญิงที่วิ่งตัวปลิวเข้ามาในห้องหลังปิดประตูเรียบร้อย เธอสวมชุดเดรสสีหวานแล้วถักผมเปียสองข้าง เป็นทรงที่เห็นประจำเมื่ออีกฝ่ายมาบ้านเขา
“เข้ามา...” กำลังจะถามว่าเข้ามาทำไมกลับถูกคนอายุน้อยกว่ายกนิ้มขึ้นแตะปากแล้วส่งเสียงให้เขาเป็นการเตือนว่าอย่าพูดเสียงดัง ซึ่งปกติไม่เคยมีใครกล้าทำเช่นนี้กับลูกชายคนโตของบ้านเมธปิยาเลยสักคน
“ชู่ว...เบาเสียงหน่อยค่ะ” พูดจบก็รีบเดินไปแอบอยู่หลังผ้าม่านผืนหน้าอย่างแนบเนียน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เกือบถามออกไปแล้วหากไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูพร้อมกับน้องชายที่โผล่เข้ามาเรียกเขาเสียงดัง
เผลอถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย รู้ว่าการอ่านหนังสือของตัวเองถูกรบกวนเข้าเสียแล้ว เด็กสองคนนี้เล่นกันเป็นปกติแต่ที่ไม่ปกติคือเข้ามาเล่นในห้องที่เขากำลังพุ่งความสนใจไปที่ประวัติศาสตร์บ้านเมือง ดวงตาคมฉายแววเหนื่อยหน่ายพรูลมหายใจเสียงเบาแล้วค่อยเบนสายตาไปมองน้องชายที่ได้เล่นสนุกไม่ต้องจมอยู่กับกองหนังสือเหมือนคนพี่
“พี่กวิน!” เสียงเรียกดังทั้งดวงตาที่กวาดมองไปรอบห้อง ทำให้รู้ทันทีว่าเพื่อนต่างเพศสองคนคงกำลังเล่นซ่อนหาเป็นแน่
แล้วเขาเกี่ยวอะไรในการละเล่นครั้งนี้ด้วย...
ไม่ได้ไปเล่นด้วยสักหน่อย
“ฉันกำลังอ่านหนังสือ นายจะมาอ่านด้วยหรือเปล่า” จ้องน้องนิ่งทำให้อีกคนชะงัก เท้าที่คิดจะก้าวไปค้นทั่วห้องก็ต้องหยุดอยู่ที่เดิมก่อนเปลี่ยนเส้นทาง แค่ต้องเรียนในห้องก็แทบอาเจียนแล้ว หากต้องมาอ่านหนังสือเหมือนพี่ชายเขาคงได้ตายเป็นแน่ คีตภัทรในวัยสิบเอ็ดปีจึงส่ายหน้ารัวพลางโบกมือไปด้วยเป็นการปฏิเสธ
“ไม่ดีกว่า” รีบออกจากห้องอ่านหนังสือซึ่งแอบตั้งฉายาว่าห้องต้องห้ามเอาไว้
คีตภัทรไม่มีทางย่างกรายเข้าไปในห้องนั้นอีกเด็ดขาด กลัวว่าจะถูกบังคับอ่านหนังสือกองโตเหมือนพี่ แค่คิดก็ขนลุกขนพองแล้ว ทางที่ดีควรต้องรีบเดินออกให้ห่างจากประตูไม้ทึบบานนั้นแล้วหาเพื่อนสนิทให้เจอโดยเร็วที่สุด
ว่าแต่เธอไปซ่อนอยู่ที่ไหนกันนะ...
ประตูปิดลงแล้วรอกระทั่งเสียงฝีเท้าของน้องชายเดินห่างออกไป คนที่แสร้งทำทีก้มลงอ่านหนังสือจึงได้ออกปากเรียกเด็กหญิงที่ซ่อนตัวอย่างเงียบเฉียบอยู่หลังม่าน ไม่ค่อยชอบให้มีคนมารบกวนตอนอ่านหนังสือ จึงคิดจะบอกให้เธอออกจากห้อง
“ออกมาได้แล้ว”
แต่เมื่อได้เห็นดวงตากลมโตที่ส่องประกายยามมองมาก็ทำให้เลือกจะกลืนคำพูดพวกนั้นลงคอ แล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อไปโดยมีใครอีกคนอยู่ร่วมห้อง คิดว่าอีกไม่นานเด็กหญิงคงเดินออกไปเองจึงไม่หันไปมอง กระทั่งรับรู้ถึงเงาใหญ่เข้ามาใกล้บดบังแสงไปกว่าครึ่งจึงได้เหลือบมอง
เด็กหญิงยิ้มกว้างให้เขาจนเห็นฟันขาวเรียงตัวกันอย่างสวยงาม เขาไม่ได้ยิ้มกลับเลือกจะก้มอ่านหนังสือเหมือนเดิม จนเธอต้องเดินไปลากเก้าอี้มานั่งข้างคนตัวสูง ขยับเข้าไปใกล้พลางชะโงกหน้ามองการกระทำของคนอายุมากกว่า ตาอ่านมือจดทำงานประสานกันอย่างน่าทึ่ง
ถึงลายมือของอีกฝ่ายจะทำคนมองขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจก็ตาม
“พี่กวินทำอะไรอยู่เหรอคะ” ถามพาซื่อจนเขาต้องหันมามองว่าหล่อนไม่ทราบจริงหรือแค่อยากเปิดบทสนทนาชวนคุยกันแน่ แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะมาต่อปากต่อคำกับเด็กปอห้า ความต้องการตอนนี้คือความสงบเพียงอย่างเดียว
แต่เหมือนจะถูกรบกวนจากคนแปลกหน้า ที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
“อ่านหนังสือ” ตอบเสียงเรียบแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือพร้อมทำสรุปในคราวเดียวกันเพื่อไม่ให้เสียเวลา เขาเบื่อการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำ แล้วคุณครูก็มักออกข้อสอบแบบกว้างจนจับจุดไม่ได้ ต้องยอมรับว่าตัวเองจับทางไม่ถูกจึงต้องขยันวิชานี้เป็นพิเศษ ต่างจากวิชาอื่นที่ทำมันได้ดี
“หนูอ่านเป็นเพื่อนไหม” ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนั้นจากคนข้างกาย เขาเหลือบมองหล่อนเหมือนไม่อยากเชื่อ ห้องนี้เหมือนห้องต้องคำสาปสำหรับน้องชายเขา อีกฝ่ายไม่อยากย่างกรายเข้ามาใกล้ด้วยซ้ำ แต่เธอกลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามา ทั้งยังเสนอตัวอ่านหนังสือเป็นเพื่อนอีกต่างหาก
ถึงเขาจะถนัดทำทุกอย่างตามลำพัง เรื่องอ่านหนังสือก็ไม่ต้องการให้ใครมารบกวน แต่อดรู้สึกอุ่นวาบในอกไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ห้องนี้...นอกจากบิดากับแม่บ้านก็แทบไม่มีใครเข้ามาเลย
