บทที่ 2 ลูกครึ่งเทพและมาร (2/3)
เมื่อนางล่วงเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์นี้ ก็พลันรู้สึกได้ถึงรอยปริร้าวอย่างรวดเร็วของชั้นบรรยากาศ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียต้องรีบเก็บงำพลังทั้งหมดของตนไว้ทันที เพราะมิฉะนั้นแล้วดาวเคราะห์ดวงนี้ต้องถูกทำลายลงด้วยพลังของนางที่แผ่กระจายออกมา
นั่นเพราะนางคือตัวตนในระดับสูงสุด ต่ำชั้นกว่าเทพผู้สร้างเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น ดาวเคราะห์ระดับต่ำเช่นนี้ย่อมไม่อาจทานรับพลังของนางได้
ดาวเคราะห์ธาราครามเป็นดาวเคราะห์ระดับต่ำ อยู่ในแดนดาราระดับล่างสุด กลิ่นอายของดาวเคราะห์ดวงนี้เหมือนกับดาวเคราะห์อื่นที่อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดผิดแผกจนทำให้ฉุกใจสงสัย แต่นางไม่เชื่อดอกว่าดาวเคราะห์แห่งนี้จะเป็นเช่นนี้ นี่คือดาวเคราะห์ที่มหาเทพครองฟ้าชางเล่ย มหาเทพอันดับหนึ่งของห้วงแห่งสุขาวดีสร้างขึ้น เขาย่อมต้องซุกซ่อนบางอย่างไว้เพื่อปกป้องเขาและนาง
สัมผัสได้จากแก่นโลหิตหัวใจของเขาแล้วว่าดาวเคราะห์ธาราครามถูกเขาสร้างขึ้นเมื่อ 30,000 ปีก่อนในตอนที่เขาและนางอยู่ร่วมกัน เขาตั้งใจสร้างดาวเคราะห์แห่งนี้ไว้เป็นที่พักและหลบซ่อนหลังจากที่อุบายแสร้งดับขันธ์ของเขาประสบผลสำเร็จ เพื่อที่เขาจะได้สละตำแหน่งมหาเทพครองฟ้าและนางสละตำแหน่งเทพมารทลายสวรรค์ พวกเขาทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันที่ดาวเคราะห์แห่งนี้อย่างพร้อมหน้า ดาวเคราะห์แห่งนี้สำเร็จสมบูรณ์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนจะเกิดเหตุการณ์เผ่าเทพยกกำลังโจมตีเพื่อทำลายล้างเผ่ามาร
เมื่อดาวเคราะห์ธาราครามเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ มหาเทพชางเล่ยก็วางแผนแสร้งดับขันธ์ ทว่าเวลานั้นเขายังนึกหาแผนการดีๆ ไม่ได้ จึงรั้งรออยู่เรื่อยมา จวบจนกระทั่งเขาคิดแผนการได้ก็กลับกลายเป็นว่าแผนการยังไม่ทันถูกใช้ออก เผ่าเทพก็ยกกำลังโจมตีเผ่ามารเสียก่อน
เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียแผ่ไอมารออกอย่างเบาบางที่สุดเพื่อมิให้กระทบกับดาวดวงนี้ นางต้องการตรวจสอบดาวเคราะห์นี้ว่าเป็นอย่างไร เพียงสามอึดใจถัดมาจึงได้ทราบว่าดาวเคราะห์แห่งนี้ประกอบด้วย 4 ทวีป ได้แก่ ทวีปเจ็ดเวหา ทวีปวิญญาณเทพ ทวีปทรายทอง และทวีปเก้าตะวัน เจ็ดเวหาและวิญญาณเทพเป็นนามจากเผ่าเทพ ทรายทองและเก้าตะวันย่อมเป็นนามจากเผ่ามาร นามของทั้งสี่ทวีปนี้มหาเทพชางเล่ยตั้งตามฉายาของขุนพลเผ่าเทพและเผ่ามาร ผู้คนในแต่ละทวีปมิใช่เผ่าเทพและเผ่ามารอยู่แล้ว เป็นเพียงมนุษย์ที่มหาเทพชางเล่ยสร้างเท่านั้น
นางต้องยิ้มออกมาอย่างโศกเศร้าเมื่อรับรู้ได้ว่ามหาเทพชางเล่ยเตรียมการไว้พร้อมเพียงใด หากหม่นหมองได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องรีบสลัดทิ้ง ยามนี้นางต้องหาทางซ่อนตัวเชียนหยิงไว้ที่ดาวดวงนี้ก่อนจะรีบกลับไปช่วยมหาเทพชางเล่ย ทว่านางสมควรพาเชียนหยิงไปที่ทวีปใดจึงเหมาะสม สัมผัสจากไอมารบ่งบอกนางว่าผู้คนในทวีปเจ็ดเวหามีระดับการฝึกฝนต่ำที่สุด ผู้คนในทวีปเก้าตะวันมีระดับการฝึกฝนสูงที่สุด วิญญาณเทพและทรายทองมีระดับการฝึกฝนใกล้เคียงกันหากสูงกว่าเจ็ดเวหาแต่ต่ำกว่าเก้าตะวัน วิญญาณเทพมีระดับการฝึกฝนสูงกว่าทรายทองเพียงหนึ่งช่วงชั้นใหญ่ ดังนั้น จึงเหมาะสมที่จะเป็นที่ซ่อนตัวของบุตรสาวของนาง
เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียพาเชียนหยิงเข้าสู่ทวีปวิญญาณเทพ ระดับการฝึกฝนที่ไม่สูงและไม่ต่ำจนเกินไป สมควรช่วยพรางการดำรงคงอยู่ของบุตรสาวนางได้ ระดับต่ำเกินไปเมื่อเวลาผ่านไปบุตรสาวของนางอาจโดดเด่นจนเป็นที่สงสัย ระดับสูงเกินไปผู้คนอาจจับผิดบุตรสาวของนางได้
ใช้เวลาราวสามอึดใจจึงมาถึงทวีปวิญญาณเทพ ทว่าเมื่อมาถึงแล้ว เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียพลันต้องขมวดคิ้ว นางสมควรฝากฝังเชียนหยิงไว้กับผู้ใดหรือที่ใด จึงจะแน่ใจได้ว่าบุตรสาวของนางปลอดภัย เพราะนางกลับสู่ห้วงแห่งสุขาวดีครั้งนี้ ยากจะบอกได้ว่าอีกนานเท่าใดกว่านางจะกลับมารับบุตรสาวได้ เพราะการไปครั้งนี้นางต้องเผชิญหน้ากับสามมหาเทพ
เมื่อหวนคิดถึงจุดนี้ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียก็พลันนึกออกถึงเรื่องราวสองประการที่นางลืมคิดคำนวณในยามเร่งรีบ เรื่องราวประการแรกย่อมต้องเป็นนางต้องปกปิดมิให้มนุษย์คนใดทราบว่าบุตรสาวของนางมีสายเลือดทั้งเทพและมารอยู่ในตัว และประการที่สองย่อมเป็นแก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ย แก่นโลหิตหัวใจนี้เหมาะสมจะมอบให้เชียนหยิงเมื่อนางอายุครบ 14,000 ปีเท่านั้น
อายุของเทพและมารในห้วงแห่งสุขาวดีนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์บนดาวเคราะห์นี้แล้ว อายุของมนุษย์ที่นี่ 2,000 ปีเท่ากับอายุเพียง 1 ปีของพวกเขา ต่อให้เชียนหยิงอยู่ที่นี่ 2,000 ปี นางก็เท่ากับเซียนหรือมารเด็กอายุ 1 ปีเท่านั้น นางยังไม่รู้เรื่องราวอันใดทั้งสิ้น ยังเป็นเพียงทารกน้อยไร้เดียงสา เชียนหยิงอาจไม่สามารถรอดชีวิตที่ดาวดวงนี้ได้ ทั้งผู้คนยังอาจคิดว่าบุตรสาวของนางเป็นสิ่งประหลาดไม่น่าไว้ใจ พวกเขาอาจทำร้ายบุตรสาวของนาง
เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียแผ่ไอมารออกอีกครั้ง เพื่อสำรวจแผ่นดินแห่งทวีปวิญญาณเทพ ผ่านไปราวสามอึดใจ นางก็ต้องมีสีหน้าประหลาดใจก่อนจะเหาะเหินไปยังทิศทางหนึ่ง ด้วยความเร็วระดับสูงสุดที่นางใช้ออก ผ่านไปเพียงหนึ่งอึดใจนางจึงมาถึงเทือกเขาใหญ่แห่งหนึ่งที่มีทิวทัศน์งดงาม เหาะตรงเข้าไปภายในหุบเขาหนึ่งของเทือกเขานี้ นางจึงมาถึงหน้าผาสูงตระหง่านลึกล้ำแห่งหนึ่ง
“ผาจันทร์ลอยน้ำจำลอง” นางอุทานเสียงแผ่ว
“ซ้ำยังมีแท่นมังกรขดกาญจนา ชางเล่ย ท่านสร้างเผื่อไว้ถึงเพียงนี้เลยหรือ” นางกล่าวออกมาด้วยความซาบซึ้งและโศกเศร้าไปพร้อมกัน
“ทุกอย่างที่นี่เหมือนกับผาจันทร์ลอยน้ำและแท่นมังกรขดกาญจนาที่แดนเทพจริงๆ”
เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียย่อมเคยเข้าสู่สถานที่ดังกล่าวด้วยการชักนำของมหาเทพชางเล่ย ผาจันทร์ลอยน้ำของแดนเทพเปี่ยมไปด้วยปราณทิพย์อันเข้มข้น สถานที่นี้เป็นสถานที่ฝึกฝนของเทพเซียนของเผ่าเทพทุกคน เขาพานางไปเที่ยวชมและยังพรางพลังของนางให้กลายเป็นพลังของเผ่าเทพ เพื่อให้นางได้ทดลองฝึกฝนที่นั่นอยู่หลายเดือน นางจึงได้ทราบว่าผาจันทร์ลอยน้ำให้ผลไม่ต่างกับทะเลกระดูกอนธกาลแห่งแดนมาร
เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียพาเชียนหยิงพุ่งลงสู่ก้นหุบเหวของผาจันทร์ลอยน้ำ ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจนางก็มาถึงก้นหุบเหวอันลึกล้ำ ที่นี่ปรากฏถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ภายในถ้ำนางจึงพบเห็นแท่นทองคำอร่ามที่สลักเป็นรูปมังกรนอนขดตัวอยู่
แท่นมังกรขดกาญจนาจำลอง ! ! สัญลักษณ์แทนตัวของมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย !
นางวางเชียนหยิงบุตรสาวของนางลงในขดมังกรนั้น ปราณทิพย์อันเข้มข้นอย่างที่สุดเริ่มไหลเข้าสู่ร่างน้อยๆ ในห่อผ้านั้นอย่างแช่มช้า
กลางฝ่ามือของนางปรากฏอัญมณีสีแดงโลหิตขนาดราวผลลำไยลูกใหญ่ทอประกายเจิดจรัส ย่อมเป็นแก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ย
“ทนเจ็บหน่อยนะ ลูกแม่ แก่นโลหิตหัวใจของพ่อเจ้า แม่ไม่อาจนำติดตัวไปได้ หากแม่พลาดพลั้ง ของสิ่งนี้ย่อมตกอยู่ในมือศัตรู นั่นย่อมเสริมสร้างให้ศัตรูของพ่อกับแม่แข็งแกร่งกว่าเดิม” นางบอกเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเต็มสองตาด้วยความสงสารบุตรสาวจับใจ ทราบดีว่าการฝืนกระทำเช่นนี้ บุตรสาวของนางต้องเจ็บปวดเจียนตาย
นางปลดผ้าอ้อมและเสื้อผ้าที่พันร่างน้อยออกจนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าจ้ำม่ำที่กำลังน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง อัญมณีสีแดงโลหิตถูกวางลงที่ตำแหน่งหัวใจของร่างเล็ก ฝ่ามือวางทับลงไป ประกายแสงสีดำทมิฬปรากฏขึ้นใต้ฝ่ามือก่อนจะชำแรกเข้าสู่ร่างน้อยและตรงเข้าสู่หัวใจของนาง ที่ติดตามประกายแสงสีดำคือประกายแสงสีแดงโลหิตจากแก่นโลหิตหัวใจ อัญมณีสีแดงโลหิตถูกชักนำให้กลายเป็นเพียงพลังสีแดงกลุ่มหนึ่งไหลตามประกายแสงสีดำ
