๔ เฉยชาห่วงใย (๔)
กลางดึกของช่วงกลางคืนที่ค่อนข้างหนาว พื้นที่นอนมีจำกัดเขาจึงไม่ค่อยหลับสนิท พลิกกายทีก็ดูท่าว่าใกล้จะตกจึงนึกหงุดหงิด สงสัยว่าต้องซื้อโซฟาที่กว้างกว่านี้แล้ว คิดดังนั้นก่อนหูจะได้ยินเสียงร้องไห้ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันทันที
ค่อยลืมตาแล้วลุกนั่งบนโซฟา มองไปยังต้นเสียงคือคนบนเตียงก็รีบรุดเข้าไปหาหล่อนอย่างรวดเร็ว เหลือบมองนาฬิกาพบว่าเที่ยงคืนแล้ว ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง สิ่งที่สงสัยคือเหตุใดเธอจึงนอนร้องไห้
“ฮือ ฮึก”
“ร้องไห้ทำไม...เป็นอะไร” นั่งลงที่ข้างเตียงก่อนเปิดโคมไฟสีนวล พลันใบหน้าหวานก็กระจ่ายแก่สายตา เห็นน้ำสีใสไหลเป็นทางเปื้อนแก้มนวลรินรดมายังหมอนจนเปียกชุ่ม ยื่นมือเข้าไปหมายจะช่วยซับน้ำตาแต่โดนเธอปัดมือออกอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องมายุ่ง” พลิกกายไปอีกทางไม่ยอมมองหน้าเขา เธอนอนร้องไห้เกือบชั่วโมงแล้วแต่อีกฝ่ายเพิ่งจะรู้ นึกหงุดหงิดสามีตัวเองจนไม่อยากเห็นหน้าหรือพูดด้วย สร้างความสงสัยแก่ฉัตรชยามากกว่าเดิม
“เธอก็บอกมาก่อนสิว่าร้องไห้ทำไม”
จบประโยคนั้นเธอก็ลุกนั่งบนเตียง แล้วตะโกนเสียงดังพร้อมสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร ปากหยักเผยอค้างไม่คิดว่าเหตุผลที่ได้ฟังจะน่าเอ็นดูมากขนาดนี้
“ฉันหิว! ฉันอยากกินอาหารทะเล ฮึก อยากกินกุ้งเผากับน้ำจิ้มซีฟู้ด อยากกินปลาหมึกย่าง ปูเนื้อนุ่ม อยากกิน ฮือ อยากกินอ่า!” อารมณ์อ่อนไหวจนร้องไห้เมื่อความหิวเข้ารุกราน พยายามข่มตาหลับเท่าไหร่ก็ไม่อาจเข้าสู่ห้วงนิทราได้ เธออยากกินจนร้องไห้ออกมาถึงจะห้ามตัวเองก็ไม่เป็นผล
“อึก เธอ...ร้องไห้เพราะอยากกินข้าวเหรอ” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องราวน่าขบขัน
ไม่เคยเห็นใครอยากกินข้าวจนต้องร้องไห้มาก่อน...
“อย่ามาหัวเราะนะ! คุณไม่รู้หรอกว่าคนท้องอารมณ์สวิงแค่ไหน คุณไม่ได้ท้องนี่ คนท้องมันฉัน แล้วลูกก็หิวมากด้วย อยากกินอาหารทะเล” ทุบที่อกหนาแล้วพยายามบอกเหตุผลของตัวเอง เขาก็เข้าใจแล้วยินยอมปล่อยให้เธอทำตามใจด้วยการทุบเขา
มือเบาอย่างกับแรงแมวไม่ได้สะเทือนเลยสักนิด
“โอเค เดี๋ยวฉันสั่ง...” คิดจะหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรสั่งอาหารมาให้ลลิล
“อยากไปกินที่ทะเล”
“หา! ตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะ”
แต่สิ่งที่หญิงสาวต้องการทำให้เขาตกตะลึง เผลอขึ้นเสียงด้วยความตระหนกไม่คิดว่านอกจากอยากกินอาหารทะเลแล้ว เธอจะอยากสัมผัสบรรยากาศของทะเลอีกด้วย ท่านผู้บริหารถึงกับกุมขมับไม่รู้จะพูดอย่างไร
“ฮือ ฮือ” เธอเห็นเขาเงียบเหมือนจะไม่ยอมทำตามจึงเริ่มร้องไห้ น้ำตาไหลเป็นทางอย่างน่าสงสาร ฉัตรชยาจึงรีบเข้ามาปลอบพร้อมรับปากรวดเร็ว
“หยุดร้องก่อน พาไป ฉันจะพาเธอไปกินอาหารทะเลตอนเที่ยงคืนเอง” ย้ำถึงเวลาแล้วลองคำนวณทะเลใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด
ทว่าสิ่งสำคัญคือเวลาเที่ยงคืน กว่าจะเดินทางไปถึงก็ตีหนึ่งเข้าให้แล้ว ยังดีที่มีโรงแรมในเครือ คงต้องให้คนจัดหาอาหารมาคอยท่าไว้ จัดอยู่ริมทะเลน่าจะดีเพราะหญิงสาวอาจอยากได้ยินเสียงคลื่นกระทบหาดยามกลางคืน
“จริงนะ” เปลี่ยนจากร้องไห้เป็นรอยยิ้ม จนคนมองนึกเอ็นดูกับอารมณ์ที่เปลี่ยนราวสับสวิตช์
“อือ ไปเปลี่ยน...ค่อยๆ เดินอย่าวิ่ง เธอกำลังท้องอยู่นะ” เขาพยักหน้าแล้วรีบห้ามคนที่ลุกจากเตียงได้ก็วิ่งไปยังห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ร้องเตือนหล่อนเรื่องที่กำลังท้องแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจฟังเท่าไหร่
จึงทำได้เพียงส่ายหน้าระอาแล้วลุกไปหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขายาวมาสวมบ้าง
ไม่รู้จะกลับมาถึงบ้านกี่โมง พรุ่งนี้มีประชุมตอนเช้าเสียด้วยสิ...แต่เขาก็ไม่อาจเห็นร้องนอนร้องไห้เพราะความหิวได้
“พร้อมแล้ว ไปกัน” รู้ตัวอีกทีก็อยู่บนรถยนต์ที่มุ่งหน้าไปยังภาคใต้เป็นที่เรียบร้อย ระหว่างทางเธอก็นั่งนิ่งจ้องหนทางข้างหน้าไม่รู้สึกง่วงสักนิด กระทั่งถึงจุดหมายคือโรงแรมริมหาด ถูกสามีจูงกึ่งลากไปยังสถานที่ซึ่งพนักงานจัดเตรียมไว้ให้
เป็นอาหารทะเลเต็มโต๊ะที่มีแสงเทียนส่องสว่างอยู่ตรงกลาง พร้อมลมทะเลพัดผ่านกายและเสียงคลื่นที่คล้ายกำลังบรรเลงเพลงให้ฟัง
ใบหน้าหวานยิ้มกว้างแล้วนั่งลงเพื่อเริ่มกินอาหารตรงหน้า เธอแทบจะกวาดของทุกอย่างเข้าปากจนเขามองอย่างตกตะลึง
หิวขนาดนี้เลยเหรอ...
“ค่อยกิน...ไม่มีใครแย่งหรอกน่า” บอกคนที่ยัดกุ้งเข้าปากทั้งที่ยังเคี้ยวปูที่เพิ่งกินไม่หมดด้วยซ้ำ
“มันอร่อยนี่น่า” ตอบเขาพร้อมกับยัดกุ้งเข้าปากทันที หญิงสาวมีความสุขเป็นอย่างมากจึงยิ้มไม่หุบ ฉัตรชยาเห็นดังนั้นก็ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ เอื้อมมือไปหยิบปูมาวางไว้ที่จานของตัวเอง กลับถูกภรรยาท้วงรวดเร็ว
“ของฉันนะ”
“อือ แค่จะแกะให้...ทั้งหมดนี่ของเธอคนเดียวเลย” ใช้น้ำเสียงนุ่มอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงเผลอมองเขานานกว่าปกติ กระทั่งเนื้อปูที่เขาแกะวางลงบนจานของตน จึงเลิกสนใจคนตรงหน้าไปโดยปริยาย
อาหารทะเลน่าสนใจกว่าเขาเยอะ!
