๓ ข้อตกลงที่เจ็บปวด (๒)
“มั่นใจเหรอว่าเด็กในท้องเป็นลูกคุณ” จ้องเขาตาไม่กระพริบ แล้วชายหนุ่มก็พยักหน้าเชื่องช้าก่อนยกยิ้มมุมปากราวถือไพ่เหนือกว่า ซึ่งเธอเกลียดท่าทีของเขาเหลือเกิน
“อือ น้ำยาฉันดี”
“ไม่คิดว่าฉันจะนอนกับคนอื่นต่อจากนั้นเหรอ” ความต้องการตอนนี้คืออยากเอาชนะอย่างเดียวจึงโพล่งออกไปเช่นนั้น แต่คนที่เตรียมการมาดีทุกอย่างก็ผายมือไปยังเอกสารที่หล่อนถืออยู่ในมือไม่ยอมวาง อยากจะฉีกหรือขย้ำมันทิ้งเสียด้วยซ้ำ
“นั่นสิ...ฉันเลยเขียนไว้ไงว่าต้องตรวจดีเอ็นเอของเด็กหลังคลอดทันที ถ้าฉันเป็นพ่อก็ยินยอมส่งเงินเลี้ยงดู แต่ถ้าไม่ใช่...เราก็เจอกันที่ศาลได้เลย” คำพูดและแววตาของเขาบอกเธอว่าชายหนุ่มเอาจริง ก่อนที่ปากกาจะถูกวางบนโต๊ะพร้อมคำสั่งเสียงเข้มที่ทำให้ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความโกรธสุดขีดจนอยากกรีดร้องตรงเข้าทำร้ายชายหนุ่มให้รู้แล้วรู้รอด
“เซ็นซะ”
ศัตรูบุกมาถึงบ้านแต่เธอก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย นอกจากยินยอมตามความต้องการของอีกฝ่าย คว้าปากกามากำเอาไว้แน่น แต่ก่อนจะเซ็นก็แก้ไขเรื่องที่ชายหนุ่มเข้าใจผิด ถึงแม้ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เพราะอย่างไรก็ถือว่าเธอได้บอกความจริงในส่วนของตนเองไปแล้ว
“ได้...แต่จำเอาไว้ว่าฉันไม่เคยคิดจะเกี่ยวดองกับคุณ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของฉัน ถึงวันที่ลูกคลอดเมื่อไหร่ฉันจะไม่เรียกร้องเงินจากคุณสักบาทและฉันขอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวดีกว่าให้ลูกมีพ่ออย่างคุณ” จากที่ยิ้มหยันให้หล่อนก็เปลี่ยนเป็นหน้าตึงทันที ขบฟันแน่นแล้วเลือกจะใช้เรื่องในอดีตมากล่าวอ้าง
“ปากดีใช้ได้...ทั้งที่เป็นคนมาบอกรักฉันเอง”
“ตอนนั้นฉันหน้ามืดตาบอดถึงได้ไปหลงคนชั่วแบบคุณได้ แต่ต่อจากนี้ไม่มีแล้วล่ะ เพราะฉันเกลียดคุณ” เธอจ้องเขากลับไม่ยอมแพ้ ขณะที่ชายหนุ่มถึงกับทุบโต๊ะแล้วลุกยืน กำลังจะเดินเข้าไปหาเธอกลับมีคนอื่นโผล่เข้ามาเสียก่อน เขาจึงเลือกจะยืนนิ่งแล้วเปลี่ยนอารมณ์ที่ร้อนระอุไปทั่วอกให้กลับมาสงบเหมือนเดิม
คำว่าเกลียดก้องอยู่ในหูของลูกชายคนโตบ้านฐิติยานนท์ แต่เขาก็เลือกแย้มยิ้มเพียงน้อยนิดให้กับเจ้าของบ้าน น่าจะเป็นบุพการีของหญิงสาวที่เดินเคียงกันเข้ามายังห้องรับแขก จึงต้องยกมือไหว้ตามมารยาทพร้อมแนะนำตัวแสดงถึงสถานะของตัวเอง
“อ้าว...คุยกับใครอยู่เหรอลูก”
“สวัสดีครับคุณน้าคุณอาผมฉัตรชยาครับ...เป็นพ่อของเด็กในท้องลลิล” คุณดวงชีวาไม่คอ่ยดุเท่าไหร่ แต่บิดาของหล่อนตาขวางแล้วถามเสียงขุ่นพอให้เขารู้ว่าตนเองถูกพ่อตาเกลียดเข้าให้แล้ว จึงรีบบอกถึงเหตุผลที่ทำให้ลลิลถึงกับยิ้มเยาะความปลิ้นปล้อนของเขา
เธอเก็บเอกสารนั้นเอาไว้ด้านหลัง ยังไม่ได้จรดปลายปากกาเพื่อเซ็นทำสัญญาเพราะบุพการีเข้ามาเสียก่อน
“มาทำไม”
“ผมอยากมาขอขมาที่ทำให้เธอเสี่ยมเสียชื่อเสียง ผมไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้และยินดีรับผิดชอบทุกอย่างครับ” คำพูดของฉัตรชยาทำให้ท่าทีของคุณวิพุชอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มไม่ได้หาเรื่องแต่พร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง
ถือว่ามีความเป็นลูกผู้ชายพอสมควร เสียอย่างเดียวที่ไม่ทำทุกอย่างให้ถูกต้องแต่แรก
“เรื่องมันเกิดขึ้นก็ต้องแก้ไขกันไป แค่รู้ผิดชอบชั่วดีรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำก็ถือว่ามีสำนึกแล้ว” ท่านนั่งลงที่โซฟาโดยที่เขาก็เลือกจะไปยืนข้างหญิงสาว จนลลิลต้องขยับออกห่างก่อนปรายตามองพ่อของลูกอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่
“ครับ”
คุณวิพุชมองดูลูกเขยที่ตนไม่ค่อยชอบหน้าในคราวแรก แต่พอพบตัวจริงก็เหมือนว่าจะไม่ได้วางมาดอย่างที่ลูกชายเคยกล่าวถึงสักเท่าไหร่ มีเพียงเรื่องค้างในใจคือผู้หญิงที่เป็นข่าวกับอีกฝ่าย สงสัยวันนี้คงต้องคุยให้รู้เรื่องหน่อยแล้ว
เกรงว่าภายภาคหน้าปัญหาอาจมาถึงตัวลูกสาวของตนได้ เลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมจะไม่ให้ได้รับการก่นด่าจากบุคคลภายนอกเป็นอันขาด
“ผมจะให้คุณพ่อคุณแม่มาพูดคุยเรื่องสู่ขอวันพรุ่งนี้ หวังว่าคุณอาคุณน้าจะว่าง...” พูดถึงผู้ใหญ่ฝ่ายตน คุณวิพุชจึงรีบตอบเพราะอยากจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
“ว่างทั้งวัน”
“ครับ”
เขาทำเพียงตอบรับจากนั้นจึงถูกเรียกมาถามไถ่ โดยร่างบางใช้โอกาสนี้หลบหนีขึ้นไปบนห้อง ปล่อยให้สองหนุ่มและมารดาคุยกันเอง ส่วนตนก็เก็บเอกสารสำคัญไว้ในลิ้นชัก ก่อนล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา
โดยที่ลืมเซ็นชื่อไปเสียสนิท!
กลับมาถึงบ้านในช่วงเย็นก็ถูกน้องสาวที่เพิ่งรู้เรื่องต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหลียวมองพี่ชายของตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตาเท่าไหร่
ชนิตราไปเที่ยวประเทศจีนกับเพื่อนสนิทหลายวันบ้านจึงเงียบเหงาไปบ้าง แต่พอกลับมาก็สร้างความวุ่นวายให้คนเป็นพี่ชายทันที เจ้าหล่อนถามไม่หยุดตั้งแต่เขากลับมาถึงบ้าน แล้วยังลากให้เข้ามานั่งรวมกันที่ห้องรับแขกอีกต่างหาก
เล่นเอาคนอายุมากกว่าต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย อยากไปพักผ่อนก็ไม่ได้ไปสักที จำต้องตอบคำถามจากเจ้าหนูจำไม
“พี่ฉัตรทำสาวท้อง! โอ้มายก็อด พี่ชายเสียสติไปแล้วเหรอคะ เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายผู้เคร่งขรึมของน้องถึงตบะแตกได้ ไม่อยากจะเชื่อเลย...” คนถามนั่งกอดหมอนพลางยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิบนโซฟา หันกายมาหาพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างกัน
เขาฟังคำถามเหล่านี้มาหลายสิบนาทีแล้ว และหล่อนก็คงถามไม่หยุดหากไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แค่คิดก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาครามครัน จนต้องส่งสายตาเพื่อขอความช่วยเหลือจากบุพการี
“เลิกพูดสักทีเถอะน่า”
“น้องไปเที่ยวไม่กี่วันกลับมาเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ซะงั้น เสียดายน่าจะรู้ตั้งแต่วันแรก” กลายเป็นน้องสาวแสนงอนไปเสียแล้ว
หล่อนกอดอกทำหน้าบึ้งตึงจนร่างสูงต้องหันไปถามบุพการี เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปสู่ขออย่างเป็นทางการ กลัวว่าหากพาชนิตราไปด้วยจะเสียการเสียงาน ไม่มีความเป็นทางการเนื่องจากความพูดมากของน้องสาว
“ต้องเอาน้องไปด้วยเหรอครับ” คนถูกกล่าวถึงหันขวับมองพี่ชาย ก่อนจะทำตามปริบส่งให้มารดาและบิดา อยากไปด้วยใจจะขาดเพราะต้องการเห็นว่าที่พี่สะใภ้ของตัวเอง แต่กลับโดนสกัดดาวรุ่งเสียอย่างนั้น
พี่ฉัตรนะพี่ฉัตร...ทำกันได้ลงคอ!
“น้องรออยู่บ้านดีกว่า กลับมาแม่จะเล่าให้ฟัง”
“อยากไป...รอก็ได้ค่ะ” จำยอมทำตามความต้องการของท่านโดยดี พยักหน้าก่อนขยับเข้าไปหาพี่ชาย จังหวะเดียวกับที่แม่บ้านเตรียมมื้ออาหารเย็นเรียบร้อย ประมุขทั้งสองจึงได้ปล่อยสองพี่น้องพูดคุยกัน
“พี่กชกลับมาฉีกอกพี่ฉัตรแน่” บอกพี่ชายที่ลืมคิดถึงเพื่อนสนิทคนนี้ไปทันทีเมื่อหล่อนกลับไปเรียนต่อ เพิ่งมานึกได้ก็ตอนที่ชนิตราย้ำเตือนความทรงจำ หน้าถอดสีเห็นถึงความยุ่งยากขึ้นมาทันที นึกแล้วก็ได้แต่หวังให้หม่อมหลวงกชวราอยู่ต่างประเทศตลอดไป
