Chapter 6
Chapter 6
ยาหยีนั่งกอดยูริราวสิบนาที เธอก็รู้สึกดีขึ้น จึงปล่อยยูริออกจากอ้อมกอด ก่อนที่จะเอาแซนด์วิชที่เขาไม่กิน บรรจุใส่กล่องอาหาร จากนั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
ในวันนี้เธอเลือกใส่เดรสสีขาวแขนกุดสวมทับด้วยเสื้อสูทสีชมพูละมุนตา และสวมรองเท้าส้นเข็มไม่ต่างจากไปเดินบนรันเวย์ ถึงยาหยีจะมีนิสัยชอบเก็บความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ในใจ แต่เรื่องการแต่งตัวหญิงสาวก็มักจะโดดเด่นอยู่เสมอ ซึ่งมันช่วยส่งเสริมให้บุคลิกของหญิงสาวดูสวยสะดุดตาต่อคนที่พบเห็น หรือจะพูดง่าย ๆ ว่ายิ่งโตยิ่งสวยสะพรั่ง
หลังจากหมุนตัวหนึ่งรอบอยู่หน้ากระจกเพื่อสำรวจการแต่งกาย เธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าใบเล็กมาพาดไหล่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าแมวเดินลงไปชั้นล่าง แล้วอุ้มยูริใส่กระเป๋า จากนั้นก็ล้วงหยิบมือถือเข้าแอปเรียกแกร็บแท็กซี่
ยาหยีทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนของตระกูลเตชะอมรทรัพย์ เธอทำงานที่นี่ตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย และเลือกเรียนปริญญาตรีในวันอาทิตย์ เพราะอยากเอาเวลามาทำงานตอบแทนบุญคุณลุงอาทิตย์ที่อุปถัมภ์เลี้ยงดูเธอมาอย่างดีตั้งแต่พ่อกับแม่ของเธอจากไป
ยาหยีเดินทางมาถึงโรงพยาบาลประมาณแปดโมง และเมื่อหญิงสาวลงจากรถแท็กซี่ก็เงยหน้ามองตึกสูงยี่สิบชั้น ซึ่งเธอทำงานอยู่ชั้นเดียวกับเจ้าของโรงพยาบาล โดยที่ทางโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ชั้นหนึ่งถึงสิบเจ็ดเป็นชั้นสำหรับบริการทางการแพทย์ ส่วนชั้นที่สิบแปดเป็นชั้นสำหรับแอดมิตของคนในตระกูลเตชะอมรทรัพย์ ชั้นที่สิบเก้าจะเป็นออฟฟิศ และชั้นที่ยี่สิบเป็นชั้นทำงานเจ้าของโรงพยาบาล
ในขณะที่หญิงสาวเดินเข้าไปในอาคารที่ตกแต่งภายในโรงพยาบาลราวกับโรงแรมห้าดาว เธอก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพราะรู้สึกประหม่ากับสถานะใหม่ที่กลายเป็นภรรยาของทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลเตชะอมรทรัพย์ แต่ในระหว่างที่หญิงสาวเดินไปขึ้นลิฟต์ ความประหม่าก็ลดน้อยลง เมื่อเจ้าหน้าที่ พยาบาล และคุณหมอที่เห็นยาหยีต่างพากันยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร
ติ๊ง! เสียงประตูลิฟต์เปิดออกชั้นยี่สิบ
ในระหว่างที่ยาหยีกำลังจะเดินไปห้องทำงานฝั่งทางด้านซ้าย ฝีเท้าเล็กก็ชะงักหยุดอยู่กับที่บริเวณหน้าลิฟต์ เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของวายุดังออกมาจากห้องทำงานใหญ่ทางฝั่งด้านขวาตั้งแต่เช้า...
“ทำไมพี่กวินทร์ไม่เอาใบ PR มาให้ผมดูก่อนที่จะสั่งซื้อยา”
“ที่ผ่านมาการสั่งซื้อยาต่าง ๆ ในโรงพยาบาลมันเป็นหน้าที่ของพี่โดยตรง ทำไมพี่ต้องเอาใบ PR มาให้นายดูก่อนด้วยล่ะ”
“พี่คงลืมไปสินะ...ว่าต่อไปอะไร ๆ ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะทุกอย่างในโรงพยาบาล โดยเฉพาะการสั่งซื้อยารักษาโรคต้องผ่านผมก่อน” วายุแสดงสีหน้าจริงจัง เวลาทำงานเขาไม่นับญาติกับใครทั้งนั้น นี่เป็นนิสัยอีกอย่างที่น่ากลัวของวายุ
“อืม...พี่คงลืมไปจริง ๆ งั้นยารักษาโรคล็อตนี้ เดี๋ยวพี่จะทำรายงานส่งให้นายย้อนหลังก็แล้วกันนะ”
“ผมขอรายงานไม่เกินเที่ยงนี้”
“โอเคครับ” กวินทร์ก้มศีรษะให้น้องชายเมียที่อายุน้อยกว่าสิบปี จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องทำงานของรองประธานกรรมการที่กำลังเลื่อนตำแหน่งเป็นประธานกรรมการสูงสุดของโรงพยาบาล
และในจังหวะที่หมอกวินทร์เดินออกจากห้องทำงานของวายุ ยาหยีที่เดินหลบไปห้องทำงานทางฝั่งซ้ายไม่ทัน หญิงสาวก็เลยทักทายหมอกวินทร์ด้วยรอยยิ้มสดใส เพื่อกลบพิรุธไม่ให้หมอกวินทร์รู้ว่าเธอแอบฟังเขาคุยงานกับวายุ “สวัสดีค่ะพี่หมอกวินทร์”
“สวัสดีครับน้องยาหยี ว่าแต่ทำไมน้องยาหยีไม่พาสามีไปฮันนีมูนครับเนี่ย มาถึงที่ทำงานก็เรียกพี่มาวีนแต่เช้าเลย” กวินทร์พูดเหมือนฟ้องด้วยสีหน้าขำราวกับเจอเรื่องตลกตั้งแต่เช้า
“แฮ่...” ยาหยีได้แต่ยิ้มแห้งออกมา พลางคิดในใจว่าเธอจะกล้าหิ้วสามีไปนั่นไปนี่ได้ยังไงนะ หมอกวินทร์ก็พูดไปเรื่อย
พอหมอกวินทร์เห็นยาหยียิ้มแห้ง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นกลั้นยิ้ม ก่อนจะเอ่ยพูดว่า “งั้นพี่ขอตัวไปทำรายงานส่งให้สามีของหนูก่อนนะ”
“ค่าพี่หมอ” ยาหยีก้มหัวให้กวินทร์เล็กน้อยอย่างเขิน ๆ เพราะไม่ชินกับคำว่า ‘สามีของหนู’ เลยสักนิด และหลังจากหมอกวินทร์เดินเข้าลิฟต์ไปแล้ว ยาหยีก็เดินไปห้องทำงานทางฝั่งซ้าย และในขณะที่หญิงสาวกำลังอุ้มยูริออกจากกระเป๋าวางที่เบาะนิ่มบริเวณโต๊ะทำงานหน้าห้อง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนใหม่ที่มาถึงทีหลังเธอไม่นานก็เอ่ยขึ้น
“หนูมาทำงานด้วยเหรอยาหยี พี่ก็นึกว่าหนูไปฮันนีมูนซะอีก” หมอหนุ่มจบใหม่วัยยี่สิบห้าปี ทักทายพี่สะใภ้ที่อายุน้อยกว่าเขาเจ็ดปี
“แล้วพี่หมอจะให้หนูไปฮันนีมูนกับใครคะ” ยาหยีถามกลับพร้อมถอนหายใจ ที่ใครต่อใครก็อยากให้เธอไปฮันนีมูนกับวายุทั้งที่ก็รู้ว่าวายุเกลียดเธอแค่ไหน
“เอ้า...สามีของพี่สะใภ้ไงครับ” สายลมบุ้ยปากไปทางห้องทำงานฝั่งขวา ที่เดิมที่ยาหยีนั่งทำงานเป็นผู้ช่วยหน้าห้องนั้น แต่ทว่าเมื่อเดือนก่อน วายุไล่ยาหยีให้มาเป็นผู้ช่วยเขา
“แค่หน้าหนูเฮียวายุก็ยังไม่อยากมองเลยค่ะ”
