๕.๒ จองแล้วนะ หวงมากด้วย
“ไม่ปล่อยหรอก พี่ไม่หนัก ดีเสียอีกพี่จะได้ชิน เพราะต่อไปหนูดีจะต้องทั้งนั่งทั้งนอนบนตัวพี่”
“ไม่ใช่ชินชาแล้วเหรอคะ หนูดีไม่ลืมนะว่าก่อนหน้านี้มีทั้งคนนั่งและคนนอนบนตัวพี่เตมากแค่ไหน”
“เรื่องจำเก่งนี่ไม่มีใครเกินจริงๆ แต่นั่นมันคนอื่น สำหรับหนูดีพี่ยังไม่ชิน หนูดีหวงตัวจะตายไป ถ้าพี่ไม่ฉวยโอกาสมีหรือจะยอมอะไรง่ายๆ จำได้ว่าครั้งแรกนั่น พี่ก็บังคับ”
“แบบหนูดีไม่เรียกว่าหวงหรอกค่ะ ถ้าหนูดีหวงจริงๆ หนูดีคงไม่ยอมให้พี่เตกอดจูบลูบคลำแถมยังยอมเปลื้องผ้าให้พี่เตดูง่ายๆ แบบนั้นหรอก”
ใบหน้าของอนุรดีร้อนผ่าว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วาบหวามต่างๆ ที่ผ่านมา รวมถึงวันที่เขากับเธอคุยกันผ่านเฟซไทม์ครั้งล่าสุดนั่นด้วย
“แต่สำหรับพี่เรียกว่าหวง เพราะหนูดียอมแค่ให้กอดจูบลูบคลำ แต่ไม่ยอมให้ ‘เอา’ จริงๆ”
“พี่เต!” อนุรดีทำเสียงเข้มใส่คนที่พูดจาห่ามๆ ดิบๆ เกินไป แม้คำตรงๆ ดิบๆ นั้นจะทำเอาเธอร้อนซ่าน แต่ใครจะยอมเห็นดีเห็นงามด้วย
“ก็หรือไม่จริง”
“อย่ามาย้อนถามหนูดีนะคะ พี่เตรับปากผู้ใหญ่เอง หนูดีแค่ช่วยไม่ให้พี่เตผิดคำพูดกับผู้ใหญ่เท่านั้น อีกอย่างพี่เตก็แค่ขอคบหาหนูดี ยังไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเสียหน่อย ว่าเราสองคนจะได้ลงเอยกันจริงๆ ในวันข้างหน้า”
“แสดงว่าหนูดียังไม่มั่นใจในตัวพี่”
“ถ้าให้ตอบตรงๆ ก็คือยังค่ะ” คำตอบนั้นไม่หนักแน่นเท่าไหร่ เพราะเทใจให้เขาไปหมดแล้ว และรู้ว่าเขาเองก็มั่นคงต่อการคบหาเธอแบบให้เกียรติและย้ำชัดว่าจริงใจแค่ไหนเสมอมา แต่ก็ยังทำปากแข็งซึ่งอนุรดีก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน
“ถ้าการกระทำของพี่ยังไม่ทำให้หนูดีมั่นใจพอ งั้นเอาอย่างอื่นเป็นหลักประกันด้วยก็แล้วกันนะ”
มือใหญ่ข้างหนึ่งละจากการกอดเอวเล็ก ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง หยิบของบางอย่างออกมา มันคือแหวนวงเล็กๆ วงหนึ่ง ตัวเรือนเป็นทองคำขาวดีไซน์เรียบหรู ประดับเพชรทรงกลมน้ำงามอย่างประณีตสามเม็ด ไม่มีกล่อง ไม่มีป้าย แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาของมันน่าจะแพงเอาการ
เตชินท์จับมือข้างซ้ายของอนุรดีขึ้นมา แล้วสวมแหวนเพชรวงนั้นเข้าที่นิ้วนางแบบไม่ลังเลใดๆ ก่อนจะรวบมือเล็กๆ นั้นขึ้นมาจูบพร้อมกับจ้องตาอย่างมีความหมาย
“จองอย่างเป็นทางการแล้วนะ ใส่แล้วใส่เลยห้ามถอด คนอื่นจะได้รู้ว่าหนูดีมีเจ้าของแล้ว แต่งงานกันเมื่อไหร่พี่จะใส่อีกวงให้ที่นิ้วนางข้างขวานะ”
อนุรดีมองแหวนและมองหน้าหล่อเหลาสลับกัน เธอแค่พูดเล่นไม่คิดว่าเตชินท์จะทำอะไรแบบนี้ ความจริงแล้วแหวนหรือสิ่งของใดๆ ก็ไม่มีค่าเท่ากับความจริงใจของเขา
“พี่เตตีตราหนูดีให้คนอื่นรู้ว่าหนูดีมีเจ้าของแล้ว แล้วคนอื่นจะรู้ได้ยังไงคะว่าพี่เตมีเจ้าของแล้วเหมือนกัน”
“หนูดีเคยตีตราเป็นเจ้าของพี่แล้วนี่ รอยที่คอวันนั้นชัดมาก แม่พี่กับยัยตวงเป็นพยานได้”
“รอยนั่นอยู่แค่สองสามวันก็ลบแล้วค่ะ”
“งั้นหนูดีก็ขยันทำรอยให้พี่บ่อยๆ สิ ทำตอนนี้เลยก็ได้พี่อนุญาต”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ตอนนั้นคนอื่นยังไม่รู้ว่าหนูดีกับพี่เตคบกัน ตอนนี้ผู้ใหญ่รู้หมดแล้ว ขืนหนูดีทำแบบนั้นมีหวังโดนแม่หยิกเนื้อเขียว”
อนุรดีส่ายหน้าอายๆ เมื่อนึกถึงตอนที่แม่ของเตชินท์ซักเขาว่ารอยบนคอคือรอยอะไร และเขาก็ตอบหน้าตาเฉยว่าโดนผู้หญิงดูด ถ้าคุณปาริชาติรู้ว่าเธอเป็นคนทำรอยนั้น ความเอ็นดูที่ผู้ใหญ่มีให้แก่เธอคงไม่เหลือหรอ
“ถ้ากลัวว่าผู้ใหญ่จะเห็น หนูดีก็ทำในร่มผ้าสิ ผู้ใหญ่ไม่เห็นแต่ผู้หญิงอื่นเห็นแน่นอนเวลาพี่เปลือย”
“พูดอย่างนี้แสดงว่ายังคิดจะมีผู้หญิงอื่นอีกเหรอคะ”
ตาแป๋วแหววเหมือนตาแมวที่เมื่อกี้เจือความเขินอายเอาไว้ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นดุดันเอาเรื่อง ราวกับตาของแม่เสือสาวโดยพลัน ทำให้เตชินท์ต้องหัวเราะออกมาอย่างพอใจ พลางล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบแหวนอีกวงออกมา ซึ่งวงนี้เป็นแหวนเพชรผู้ชายรูปตัวเอส แล้วส่งมันให้กับคนที่กำลังทำตาดุๆ อยู่ตอนนี้
“ใส่ให้พี่สิ พี่ยินดีจะถูกตีตราจองและบอกให้คนอื่นรู้ว่าพี่มีเจ้าของแล้ว”
อนุรดีต้องปรับอารมณ์อีกหน หลังจากเมื่อครู่นี้ถูกยั่วแหย่จนเผลอขุ่นเคือง เตชินท์เตรียมแหวนสองวงนี้มาล่วงหน้าและพาเธอมาแวะที่นี่ก็เพื่อเรื่องนี้เองหรอกหรือ
