๔.๓ ยามสองเราต้องห่างไกล
“เกือบจะซึ้งแล้วค่ะ แต่วกเข้าโหมดหื่นจนได้” ถึงจะค่อนขอดเขา แต่ก็หัวใจพองโต สัมผัสได้ถึงความรักที่เตชินท์มอบให้อย่างล้นเหลือ
“จะไม่ให้หื่นยังไงไหว ก็พี่หวงของพี่ คิดว่าหนูดีกลัวความห่างไกลคนเดียวหรือไง หนูดีน่ารักขนาดนี้ ตอนที่พี่ไม่อยู่กลัวจะมีคนมาวอแว”
“ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ หนูดีรักพี่เตคนเดียว จะรอวันที่พี่เตกลับมาหาหนูดีนะคะ”
อนุรดีเอ่ยปากบอกรักเขาเสียงหวานนุ่มนวล พร้อมกับช้อนตาคู่สวยขึ้นมองหน้าหล่อๆ นั้นด้วยความซื่อบริสุทธิ์จนเตชินท์อดไม่ได้ที่จะดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่นๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดใจเดินไปขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อเข้าเกท โดยไม่ลืมหันมามองร่างบางที่มองเขาจนลับตาเช่นกัน
เวลาสามเดือนที่ต้องอยู่ไกลกันคนละฟากฟ้าดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ความคิดถึงความโหยหากันและกัน ทำให้ทั้งอนุรดีและเตชินท์ต่างต้องทรมาน แต่ยังดีว่าเทคโนโลยีในยุคโลกไร้พรมแดนทำให้ทั้งคู่ได้ยินเสียงและหน้ากันได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
ตอนนี้อนุรดีเปิดเทอมแล้วและกำลังอยู่ในช่วงทำโปรเจกต์จบในเทอมสุดท้าย ส่วนเตชินท์เองเข้าสู่ช่วงสรุปงานก่อนบินกลับ ความถี่ของการพูดคุยข้ามประเทศเริ่มลดลงไปบ้าง เพราะต่างคนต่างต้องทุ่มเทเวลาไปกับสิ่งสำคัญที่กำลังรับผิดชอบอยู่
คืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ อนุรดีนอนไม่หลับถึงแม้เวลาจะล่วงเลยเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้วก็ตาม หลายวันมานี้เธอไม่ได้คุยกับเตชินท์ เขาบอกไว้ก่อนแล้วว่ามีประชุมดึกเกือบทุกวัน อาจไม่ค่อยได้โทร.หาและไม่อยากให้เธอรอ เพราะเวลาที่เยอรมนีช้ากว่าไทยราวห้าชั่วโมง กลัวอนุรดีจะนอนดึกไปด้วย หญิงสาวเข้าใจเหตุผลของเขาดี แต่กระนั้นก็อดคิดถึงคนรักไม่ได้
เมื่อนอนไม่หลับ อนุรดีไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ร่างบางจึงลุกจากเตียง หยิบเอาแล็ปท็อปมากางบนเตียงโดยใช้หมอนอีกใบรองไว้ แล้วนั่งพิมพ์สารนิพนธ์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงตีสอง เสียงจากแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือและในแล็ปท็อปที่เชื่อมต่อไวไฟอยู่ก็ดังขึ้นพร้อมกัน
เมื่อเห็นว่าคนที่โทร.เข้ามาเป็นใคร นิ้วเรียวเลื่อนเมาท์คลิกปุ่มรับสายจากหน้าจอแล็ปท็อป จากนั้นเสียงสัญญาณเตือนจากอุปกรณ์ทั้งสองก็เงียบลง พร้อมๆ กับหน้าจอแล็ปท็อปปรากฏภาพของคนที่อนุรดีกำลังคิดถึงขึ้น
ภาพที่ส่งมาจากแดนไกลตอนนี้คือ เตชินท์นั่งอยู่บนโซฟาผ้ามาร์คสีน้ำตาล ใบหน้าเขายังคงหล่อเหลาเช่นเดิม แม้จะมีร่องรอยของความอิดโรยให้เห็น แต่ก็ถูกกลบด้วยความสดชื่น คงเป็นเพราะเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ อนุรดีหน้าแดงซ่านเมื่อเห็นแฟนหนุ่มเปลือยร่างกายช่วงบน โดยไม่รู้ว่าท่อนล่างนั้นเปลือยเปล่าเช่นกันหรือเปล่า ดูเหมือนเจ้าตัวจะจงใจวางโทรศัพท์ในตำแหน่งที่ให้เธอเห็นแค่วับๆ แวมๆ ถึงแค่หน้าท้อง ส่วนที่ต่ำลงไปกว่านั้นก็ปล่อยให้เธอจินตนาการเอาเอง
“พี่โทร.มาปลุกหรือเปล่า ที่เมืองไทยตอนนี้ตีสองแล้วใช่ไหม ความจริงก็ไม่อยากโทร.เวลานี้นะ รู้ว่าหนูดีคงนอนแล้ว แต่ทนคิดถึงไม่ไหว ไม่ได้เห็นหน้าตั้งหลายวัน” เตชินท์เอ่ยถามอย่างเกรงใจ แต่ถ้อยคำพวกนั้นกลับทำให้หัวใจของอนุรดีเต้นแรงและพองโตด้วยความสุข
“ใช่ค่ะตีสองแล้ว แต่พี่เตไม่ได้โทร.มาปลุกหนูดีหรอก หนูดียังไม่ได้นอนเลยค่ะ กำลังนั่งพิมพ์สารนิพนธ์อยู่”
“ขยันจัง แต่ขยันแบบนี้ไม่ดีนะ ดึกแล้วหนูดีควรจะนอน”
“อยากนอนค่ะ แต่นอนไม่หลับเพราะเอ่อ...” อนุรดีเกิดอาการเขินขึ้นมาดื้อๆ จึงไม่กล้าบอกว่าตัวเองคิดถึงเขามากจนนอนไม่หลับ
“เพราะอะไร” เตชินท์ถามอ้อนๆ เสียงหวานหูชวนละลาย ตาเขาจ้องมองมาอย่างมีความหมายและรอคอยคำตอบ
“เพราะคิดถึงพี่เตค่ะ”
“ชื่นใจจัง พี่ก็คิดถึงหนูดี คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงผมหอมๆ คิดถึงปากบางๆ นุ่มๆ คิดถึงลิ้นหวานๆ คิดถึงหน้าอกขาวๆ อวบๆ ของหนูดี และคิดถึง...ตรงที่พี่จูบวันนั้นที่สุด อยากกลับไปหาไวๆ จะกอด จะจูบ จะทำให้หนูดีครางกระเส่าอย่างมีความสุขเหมือนวันนั้น โอว...หนูดีจ๋า แค่คิดพี่ก็...”
เตชินท์ไม่ได้พูดให้จบแต่ใช้การหายใจแรงๆ บ่งบอกสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกอยู่แทน ภาพการผงาดพองโตเต็มศักดาของบางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นในสมองของอนุรดี ภาพนั้นก่อให้เกิดอาการหัวใจพองโตไม่น้อย เพราะดูเหมือนว่าเตชินท์จะคลั่งในตัวเธอเหลือเกิน มันทำให้เธอพลอยตื่นเพริดและเกิดอารมณ์ร่วมกับเขาไปด้วย
“อีกไม่นานก็จะได้เจอกันแล้วนี่คะ” เสียงหวานตอบกลับไป พยายามจะไม่ให้เขาจับได้ว่าตอนนี้ภายในกายของเธอปั่นป่วนแค่ไหน
