๔.๒ ยามสองเราต้องห่างไกล
เตชินท์ครางออกมาอย่างชื่นชม พลางวางมือลงบนกุหลาบช่อสวยที่มีปอยไหมแสนนุ่มอำพรางอยู่แค่บางเบา เขาทำความคุ้นเคยพร้อมกับประกาศความเป็นเจ้าของไปในคราวเดียวกัน อนุรดีได้แต่จ้องเขม็งมองการกระทำของเขา แต่มองได้ไม่นานก็ต้องเปล่งเสียงร้องครางซี้ดออกมาด้วยความรัญจวนสุดขีด เมื่อแฟนหนุ่มก้มลงจูบตรงนั้น จูบแบบปากแนบเนื้ออย่างที่เขาวอนขอ
สัมผัสแรกจากชิวหาบุรุษทำเอาอนุรดีถึงกับหวีดคราง ก็จะไม่ให้ครางได้อย่างไร ในเมื่อการจูบของพี่เต มันคือการตวัดลิ้นปาดเร้าลึกทั่วอาณาบริเวณความสาว พร้อมกับใช้สันจมูกโด่งกดคลึงลงบนเม็ดเกสรของกุหลาบแรกผลิ ทุกจังหวะล้วนแต่หนักหน่วงมั่นคงและเน้นแรงๆ
“พี่เตขา...จูบอะไรแบบนั้น...หนูดีจะตายอยู่แล้ว”
อนุรดีครางกระเส่าปนสะอื้น ซึ่งเตชินท์รู้ดีว่ามันไม่ได้เกิดจากความเจ็บปวดหรือหวาดหวั่นใดๆ เขารู้ว่าแฟนสาวกำลังสุขสยิวกับการใกล้ชิดแบบใหม่ที่เขามอบให้ ความจริงอยากมอบให้เธอมานานแล้ว แต่ก็รอเวลาเพราะกลัวจะหยุดตัวเองไม่ได้ แต่วันนี้สถานการณ์มันบังคับ เขาจำเป็นต้องตีตราจอง เพื่อให้อนุรดีคิดถึงแต่เขาเพียงผู้เดียวในช่วงเวลาที่ต้องห่างกัน
มือแกร่งสอดเข้าใต้ข้อพับของสองขาเรียว ยกขึ้นให้ปลายเท้าของเธอวางบนโซฟา ผลักให้แยกห่างเต็มองศา พร้อมกับที่ดอกไม้สาวเบ่งบานอวดเกสรสวยสดซึ่งยามปกติซ่อนลึกอยู่หลืบเร้นด้านใน จากนั้นลิ้นสากหนาก็ตวัดชอนจูบไซ้ไปทั่วทุกตารางนิ้ว ท่ามกลางเสียงครางหวานกระเส่าที่ดังระงมขึ้น
“พี่เต...พี่เต...อูวว์”
สมองของอนุรดีตอนนี้ขาวโพลนไปหมด สองมือขยุ้มทึ้งผมเขา ร่างกายแอ่นหยัดไม่อยู่สุข เมื่อลิ้นหนารัวยิบใส่ยอดเกสรไม่ยั้งจนน้ำผึ้งรวงหลั่งล้นออกมาเป็นสาย แต่เขาก็ยังไม่พอใจ ลิ้นจัดเจนยังห่อเป็นแท่งเรียวแหลมแล้วแทงทิ่มเข้าไปทลายภายในรังน้ำผึ้ง ตวัดดื่มกินอยู่ในนั้นเสียงดังซวบๆ ราวกับหิวกระหายมาเนิ่นนาน
ใบหน้าสวยหวานได้แต่ส่ายสะบัดไปมา ช่องท้องหดเกร็ง ร่างกายสั่นระริกตามอารมณ์สยิว แต่สะโพกกลับโยกยกรับเอารสสวาทแสนกระสันซึ่งไม่เคยพานพบมาก่อนอย่างเต็มที่ เตชินท์ละมือข้างหนึ่งจากการผลักโย้ต้นขาเรียว วาดมาบดคลึงเม็ดเนื้อเกสรสาว เป็นการรักเธอด้วยปากและมือไปพร้อมๆ กัน
“อื้อ...อื้อ...พี่เต...หนูดี...ไม่ไหว...แล้วค่ะ…ซี้ดดด...”
อนุรดีส่งเสียงครางซี้ดซ้าดฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ขาข้างที่ถูกปล่อยเป็นอิสระตวัดมาเกี่ยวรัดบนลำคอเขา แล้วออกแรงกดหนักๆ ให้ใบหน้าหล่อเหลาแนบชิดอยู่ในท่านั้น ก่อนที่เธอจะระเบิดเสียงหวีดร้องรุนแรงที่สุดในชีวิตออกมา เป็นเสียงร้องของความสุขสุดหฤหรรษ์ จากการที่เตชินท์ส่งเธอให้โลดทะยานไปยังจุดสุขสมแสนสยิวคาปากเขา
ชายหนุ่มปล่อยให้คนรักล่องลอยอยู่กับความอัศจรรย์ของจุดไคลแมกซ์อยู่ชั่วครู่ แล้วทาบปากตวัดเอาความหอมหวานฉ่ำสดของกลิ่นสาว ก่อนจะขยับตัวขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน บดจูบ มอบกลิ่นรสให้เธอได้เชยชิมตัวเองผ่านปลายลิ้นของเขา จากนั้นเวลาที่เหลือก็คือเวลาของการกอดหอมคลอเคลีย กระทั่งถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปสนามบินจริงๆ
“พี่ไม่อยู่ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“ค่ะ”
“นี่กุญแจรถ หนูดีอยากขับไปไหนก็ขับได้ตามสบาย แต่ต้องสัญญากับพี่ว่าจะขับอย่างระมัดระวัง พี่ไม่ได้เป็นห่วงรถ แต่เป็นห่วงคน และที่สำคัญที่สุดห้ามให้ผู้ชายคนไหนนั่งรถคันนี้ ยกเว้นน้ายุทธคนเดียว เข้าใจที่พี่บอกหรือเปล่า” เขาสั่งพร้อมกับส่งกุญแจรถราคาหลายล้านนั้นให้แก่เธอ
“ที่พี่เตบอกมันเข้าใจยากตรงไหนเหรอคะ” อนุรดีรับกุญแจมาถือไว้แล้วแกล้งพูดจายียวนกวนอารมณ์เขาเล่น เพื่อกลบเกลื่อนความหมองหม่นภายในใจตัวเอง เมื่อใกล้เวลาที่ต้องห่างไกลกันกับเตชินท์จริงๆ
“ถ้าไม่อยู่ในสนามบินนะ พี่จะจับเด็กปากเก่งมาจูบจนดิ้นพล่านเลย ไม่ใช่แค่จูบที่ปาก แต่จะจูบทั้งตัวให้มากกว่าที่พี่จูบวันนี้”
ประโยคหลังเขายื่นหน้าเข้ามากระซิบให้พอได้ยินกันสองคน ทำเอาอนุรดีหัวใจเต้นแรง พวงแก้มแดงก่ำเมื่อเหตุการณ์ที่เขาตอกย้ำผุดขึ้นในหัวอย่างแจ่มชัด
“ไม่ต้องมาทำเก๊กดุใส่หรอกค่ะ พี่เตไปอยู่โน่นตั้งสามเดือนจะนัดใครไปเจอ หรือมีใครรออยู่ หรือจะไปหาเอาข้างหน้าก็ไม่รู้”
“พี่ไม่นอกใจหนูดีหรอก พี่สาบาน พี่รักเด็กคนนี้ รักจริงหวังแต่ง อยากให้เรียนจบวันนี้พรุ่งนี้ด้วยซ้ำ จะได้จับทำเมียเร็วๆ”
