๓.๖ ง้อรัก
เธอไม่รู้ว่าสิ่งนั้นใหญ่โตแค่ไหน ด้วยเพราะมีอาภรณ์ชิ้นล่างของเขาปกปิดอยู่ แต่วันนี้ไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคขัดขวางสายตาของเธอแล้ว ทำไมไม่ดูเสียให้เต็มตาล่ะ!
พวงแก้มใสของอนุรดีร้อนแล้วร้อนอีก เมื่อสายตาซุกซนซึ่งไวเท่าความคิด มองต่ำลงไปยังจุดที่เป็นความลี้ลับทางอารมณ์ของเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
โอ...ประจักษ์พยานที่เธอเห็นอยู่คาตาอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ มันคือช่างฟ้องชัดว่าเธอไม่ได้มโนไปเอง
แบบนั้นต้องเรียกว่าอะไรดี ใหญ่โต มหึมา อลังการงานสร้าง หรือว่าทุกอย่างรวมๆ กันถึงจะถูกต้องที่สุด
เธอรู้ว่าเตชินท์ผ่านผู้หญิงมามากมาย และแน่นอนว่าคงไม่ใช่แค่คบหาเฉยๆ ในเมื่อเขาบอกเองว่า ถ้าใครเต็มใจให้ เขาก็รับ ซึ่งจากสัญชาตญาณบวกกับการได้สัมผัสมาบ้างแม้จะไม่มาก อนุรดีค่อนข้างมั่นใจว่าทุกท่วงท่าลีลาอารมณ์ของเตชินท์จะต้องดุดันโลดโผนเป็นแน่
แต่ว่า...ผู้หญิงเหล่านั้นรับความใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไร ถึงเธอจะไม่เคยผ่านประสบการณ์จริงมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าไร้เดียงสาเสียจนไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างชายหญิง มันคือการสอดประสานร่างกายรวมเข้าด้วยกัน โดยดอกไม้นารีคือส่วนที่ต้องยินยอมน้อมรับให้ความแกร่งโชนซอนซุกเข้ามาข้างในแล้วโอบอุ้มรัดรึงเอาไว้ แล้วหลังจากนั้นฝ่ายชายก็จะ...
ความรู้สึกของสาวพรหมจรรย์แตกกระเจิง เมื่อถูกเร้าด้วยความสงสัยในเรื่องที่ตัวเองไม่เคยพานพบ และกับความคิดที่ว่า วันหนึ่งข้างหน้าเธออาจต้องเป็นคนรับมือกับความใหญ่โตนั้นด้วยตัวเอง โอย...เธอต้องตายแน่ๆ เธอมั่นใจว่ามันต้องคาคับจนเธอแทบแตกปริ เพราะแก่นตออันแกร่งโชนนั้นใหญ่โตแค่ไหน เธอก็ประจักษ์อยู่ แต่ทำไมผู้หญิงพวกนั้นไม่มีใครตายสักคน หนำซ้ำหลายคนกลับติดอกติดใจจนถึงขั้นมาหาเขาถึงที่ ดังนั้นการมีสิ่งนั้นสอดซุกอยู่ในร่างกาย มันจะต้องมีดีซึ่งเธอมั่นใจว่าไม่ใช่ความเจ็บปวดแน่ๆ แล้วเธอจะรู้ได้อย่างไร ว่าดีหรือไม่ดีแค่ไหน ถ้าไม่ลองด้วยตัวเอง!
อึ๋ยยย...ยัยหื่น เลิกคิดบ้าๆ หื่นๆ แบบนั้นได้แล้ว
น้ำมันใกล้ไฟว่าน่ากลัวแล้ว แต่อนุรดีกลับกลัวใจตัวเองมากกว่า รีบห้ามความคิดอันไม่สมควร แล้วรีบวาดมือเช็ดต่ำลงไปยังหน้าท้องที่เต็มไปด้วยลอนของมัดกล้ามของเขา เตรียมจะถอนมือออกเพราะไม่กล้าเช็ดต่ำลงไปกว่านั้น ทว่ายิ่งอยากหนีเหมือนยิ่งมีผีผลักใส่ มือเล็กปัดป่ายไปโดนความโชนชันกลางกายเขาในจังหวะที่กำลังจะละมือออกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำเอาร่างบางถึงกับสะดุ้ง
ตอนมองเห็นด้วยสายตาว่าเขินจัดแล้ว ตอนนี้เธอกลับรู้สึกเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าหลายร้อยโวลต์ไหลผ่านเข้ามาในตัวจนต้องรีบชักมือออก แต่มือของเตชินท์ไวกว่า เขาตะครุบมือเล็กนุ่มของเธอ แล้วกดลงวางทับบนองคาพยพแห่งความเป็นชายเอาไว้มั่น
“พี่เตปล่อยมือหนูดีค่ะ” อนุรดีเอ่ยด้วยเสียงสั่นระริก จะไม่ให้สั่นได้อย่างไร ก็มือเธอแนบชิดอยู่กับสิ่งที่น่าหวาดหวั่นขนาดนั้น
“ทำความรู้จักกับมันหน่อยเถอะนะหนูดี ต่อไปมันก็จะเป็นสมบัติของหนูดีคนเดียวแล้วนะ”
เตชินท์เว้าวอนด้วยเสียงที่สั่นพร่าไม่ต่างกัน ซ้ำยังชักพาให้มือเล็กของเธอโอบรอบกอบกุมแล้วเคลื่อนขยับขึ้นลงเบาๆ ด้วย
“โอว...หนูดีจ๋า”
เขาครางออกมาพลางกัดฟันและสูดปากเหมือนเจ็บหนัก จนเธอต้องมองหน้าเขาอย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรผิดมากน้อยแค่ไหน แต่สายตาของเตชินท์ที่กำลังเพ่งมองไปยังมือเล็กๆ ของเธอนั้น มันฟ้องชัดว่าเขาไม่ได้เจ็บแม้แต่นิด ตรงกันข้ามมันคือความสุขที่เจือกับความทรมานต่างหาก
“หนูดีทำให้พี่เตเจ็บเหรอคะ” เธอถามเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง
“เปล่า หนูดีไม่ได้ทำให้พี่เจ็บสักนิด แต่ทำให้พี่ปวดหนึบทรมานเพราะอยากได้หนูดี แต่พี่รู้คนดีว่ามากน้อยแค่ไหน พี่จำได้ว่าสัญญาอะไรกับหนูดีไว้ หนูดีจ๋า...จูบพี่ จูบตรงที่หนูดีกำลังจับอยู่” เตชินท์วอนขอในสิ่งที่มากกว่าเดิม โยนความว้าวุ่นโครมใหญ่เข้าใส่หัวใจของอนุรดีแบบจังๆ แค่จับยังทำเอาเธอกระดากปั่นป่วนขนาดนี้ แล้วถ้าต้องจูบเขา?
“ไม่ค่ะ หนูดีไม่กล้า”
ปากบอกว่าไม่กล้า แต่มือกลับไม่ได้ละห่างจากความใหญ่โตนั้นแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขาปล่อยมือข้างนั้นของเธอให้เป็นอิสระแล้ว
“ไม่เห็นมีอะไรน่าอายเลยนี่เด็กดี นะจ๊ะทูนหัวตามใจพี่เถอะนะ ถ้าหนูดีไม่จูบพี่จะปล้ำ พี่จะไม่รอจริงๆ ด้วย สัญญาต่างๆ นานาที่พี่เคยบอกเป็นอันว่าโมฆะ”
