๓.๔ ง้อรัก
“ไม่สงสารเขาหรือไงคะ อุตส่าห์ตามมาจากเมืองนอก แต่กลับมาโดนเทง่ายๆ พี่เตไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ” คราวนี้อนุรดีไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ แต่พูดด้วยเหตุผลล้วนๆ แม้จะหวงเขา แม้จะไม่อยากให้เขามีพันธะผูกพันกับใคร แต่ก็อดเห็นใจผู้หญิงด้วยกันไม่ได้
“พี่กับเจนไม่ได้คบกันเป็นแฟนแต่แรกอยู่แล้ว”
“แค่มีเซ็กซ์กันอย่างนั้นเหรอคะ”
“ใช่...มันเป็นความพอใจของเราทั้งสองฝ่าย แค่สนุกแต่ไม่ผูกพัน สถานะของเราสองคนถ้าไม่รวมเรื่องอย่างว่าก็แค่เพื่อนกัน หนูดีเข้าใจที่พี่พูดหรือเปล่า”
“แต่ที่หนูดีเห็น คุณเจนไม่ได้คิดกับพี่เตแค่เพื่อน ยังไงหนูดีกับพี่เตก็ยังไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งต่อกัน ถ้าจะให้ถูกหนูดีต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายก้าวออกมา”
“เอาละหนูดี พี่ขี้เกียจอธิบายแล้ว พี่ถามคำเดียวตกลงหนูดีจะคืนดีกับพี่หรือเปล่า ถ้าหนูดียังไม่ยอมดีด้วยหรือพูดกันไม่รู้เรื่องอยู่แบบนี้ พี่จะได้ปล้ำทำเมียให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย” เตชินท์ทำท่าเหมือนเหนื่อยใจกับเธอเต็มที แต่กับเด็กที่พูดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเข้าใจ เขาอาจต้องใช้วิธีนี้
“ก็ลองสิ หนูดีจะฟ้องพ่อกับแม่ คราวนี้หนูดีไม่ได้ขู่แต่หนูดีเอาจริง” อนุรดีเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย เพราะไม่ชอบที่เขาขู่แบบนั้น
“พี่น่ะอยากให้หนูดีเอาจริงมาก ฟ้องเลยนะ รีบๆ ฟ้องเลยยิ่งดี ผู้ใหญ่จะได้จับพี่กับหนูดีแต่งกันเสียเลย พี่เองก็ขี้เกียจรอ ขี้เกียจเล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับหนูดีแล้วเหมือนกัน”
“จะมาอยากแต่งกับหนูดีทำไม”
“ถามโง่ๆ ก็เพราะรักไง”
คนบ้า...ทั้งด่าทั้งบอกรักไปพร้อมกัน ผู้หญิงที่ไหนเขาจะปลื้ม
“มีคนอยากแต่งด้วยเยอะแยะ ไปขอเขาสิ”
“พี่ไม่อยากได้ใครเป็นเมียนี่ อยากได้หนูดีเป็นเมียคนเดียว ดังนั้นถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็อย่ามาไล่พี่ไปหาคนอื่นอีก”
“แล้วไอ้ที่พี่เตได้ๆ มาแบบนับคนไม่ถ้วนก่อนหน้านั้นล่ะ” เพราะความโกรธ เพราะความงอน เพราะทิฐิแท้ๆ ทำให้อนุรดีกลายเป็นคนพูดเสียงแข็ง น้ำเสียงอ่อนหวานไพเราะที่มักมีหางเสียงเสมอ ตอนนี้ไม่หลงเหลือสำหรับเตชินท์เสียแล้ว
“พี่ยอมรับว่าเมื่อก่อนพี่รักสนุก มักง่าย มักมาก ชอบเซ็กซ์ตามประสาผู้ชายเลวๆ เวลาเห็นผู้หญิงสวยๆ ที่เขาเต็มใจให้เอาพี่ก็เอา แต่ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งพี่จะมาตกหลุมรักน้องสาวข้างบ้านที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กอย่างหนูดีล่ะ ถ้าพี่รู้ล่วงหน้า พี่คงจะเก็บพรหมจรรย์ไว้ให้หนูดีคนเดียวแล้วละ”
เขาพ่นวาจาที่ค่อนข้างหยาบคายออกมาอย่างหงุดหงิด ทำอนุรดีแก้มร้อนผ่าวเพราะแม้จะได้ยินเพื่อนๆ พูดกันค่อนข้างบ่อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีใครมาพูดกับตัวเองแบบนี้
“หนูดีไม่อยากได้พรหมจรรย์ของพี่เต”
“แต่พี่อยากได้พรหมจรรย์ของหนูดี และไม่ใช่แค่พรหมจรรย์ที่พี่อยากได้ พี่อยากได้ทั้งตัว อยากได้ทั้งหัวใจของหนูดีด้วย”
“คนโลภ” ปากต่อว่าต่อขานเขาไม่ยอมหยุด แต่หัวใจอ่อนยวบยาบ เมื่อได้ยินเขาตอกย้ำว่ารักและต้องการเธอคนเดียวซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ที่โลภก็เพราะรักมาก แคร์มาก หวงมาก และอยากได้เป็นเมียมาก”
“หนูดียังเรียน ตอนนี้ก็เพิ่งอยู่ปีสาม อีกตั้งปีกว่าจะจบ ยังเป็นเมียใครไม่ได้หรอก”
“ยังเป็นเมียไม่ได้ตอนนี้ ก็เป็นว่าที่เมียไปก่อนได้นี่ หนูดีจะยอมเป็นหรือเปล่าล่ะ”
“รอไหวเหรอ”
“ถ้าหนูดีอยากให้รอ พี่ก็สัญญาว่าจะรอ”
“รอโดยที่ไม่มีใครนอกจากหนูดีคนเดียว” ทั้งที่ยังไม่หายโกรธ แต่อนุรดีกลับต่อรองในเรื่องที่กำลังจะผูกมัดตัวเองเข้าให้เต็มเปา
“ได้อยู่แล้ว”
“อดได้เหรอคะ ของเคยอยากเคยกิน ต้องอดเป็นปีๆ เชียวนะ” น้ำเสียงที่เคยห้วนๆ แข็งๆ บัดนี้เริ่มอ่อนหวานนุ่มนวลลง ทำให้เตชินท์ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง
“อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา”
หนุ่มนักเรียนนอกยกบทกลอนจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน มากล่าวเอาใจนักศึกษาสาวคณะอักษรศาสตร์ ทำเอาอนุรดีเผลอย่นจมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้คนเจ้าชู้ ที่ตอนนี้กลายเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนไปเสียแล้ว บางทีเขาอาจจะมีขุนแผนเป็นไอดอลกระมัง แล้วเธอล่ะพร้อมจะเป็นนางพิมของเขาไหม
เสียงเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาในใจว่า ‘พร้อมสิ’ เธอพร้อมจะเป็นนางพิมที่มีแต่ขุนแผนคนเดียวโดยไม่เคยคิดจะมีขุนช้างแม้แต่นิด ไม่อย่างนั้นตอนนี้เธอคงไม่มานอนอยู่บนเตียงใต้ร่างใหญ่ของเขาหรอก
