บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 แก้แค้นให้นาง

หลังจากตกปากรับคำพี่ชายว่าจะให้โอกาสเขาเพียงหนเดียว นางจะยังไม่บอกบุพการีทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่นานเสียงรถม้าคันใหญ่ก็วิ่งกลับเข้ามายังจวนสกุลหลู่ หลู่โจวหลินคิดว่าบิดามารดาและท่านย่าเยว่เฉียวคงกลับมาแล้ว เขาจึงรีบร้อนออกไปจากจวนโดยบอกเหตุผลกับหลู่ฟู่หลินว่าจะหนีไปพักที่อื่นสักระยะ เพราะถ้าหากท่านพ่อท่านแม่รู้ว่าเขาอยู่ที่จวนคงเข้ามาหาและต้องรู้ความลับเรื่องที่โดนเย่หมิงชินทำร้ายอย่างแน่นอน

ก็แหงสิ… หลักฐานการโดนทำร้ายทุกอย่างนั้นได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของท่านพี่โจวหลินหมดแล้ว หลู่ฟู่หลินคิดในใจด้วยความเอือมระอา ทว่าก่อนที่เขาจะจากไป เขาก็ได้รับปากนางอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ

‘หลินเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้เป็นกังวล เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเองเถิด อีกอย่างข้ารับปากพวกมันไว้แล้วว่าจะไม่บอกผู้ใดและไม่เข้าไปยุ่งกับพวกมันอีก พวกมันคงไม่กล้าทำอะไรข้าแล้วล่ะ ข้าสัญญาหากมีเรื่องใดเกิดขึ้นอีก ต่อไปข้าจะบอกท่านพ่อกับท่านแม่และเจ้าทุกเรื่อง ไม่มีความลับใดๆ อีกต่อไป’

เอาเถิด นางจะลองเชื่อใจเขาดูสักครั้ง ที่ผ่านมาท่านพี่หลู่โจวหลินของนางก็หาใช่คนชอบพูดจาโกหกเสียหน่อย

“หลินเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือลูก” เสียงทักทายของมารดาที่ดังขึ้นอยู่หน้าประตูทำให้ความคิดของหลู่ฟู่หลินจำต้องหยุดลง หญิงสาวหันไปส่งยิ้มให้คนที่เดินเข้ามา นอกจากท่านแม่หยางเสี่ยวเหมยแล้วยังมีท่านพ่อหลู่อวี้โจวอีกคนหนึ่ง

“งานเลี้ยงจิบน้ำชากับองค์หญิงไป๋หลันเป็นอย่างไรบ้าง หลินเอ๋อร์ของพ่อสนุกหรือไม่” หลู่อวี้โจวเดินเข้ามาโอบไหล่บอบบางของบุตรสาว ทั้งสามคนจึงเดินไปหย่อนกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวยาว โดยมีหลู่ฟู่หลินนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างบุพการีทั้งสองคน หากแต่คำถามของบิดาทำให้หญิงสาวเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นด้วยความกรุ่นโกรธ จากนั้นจึงเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านพ่อและท่านแม่ฟัง

จากเดิมที่ตั้งใจจะเข้ามาถามไถ่หลู่ฟู่หลินเรื่องที่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชากับองค์หญิงไป๋หลัน และถามข่าวคราวเรื่องหลู่โจวหลินว่าบุตรชายตัวดีได้กลับมาที่จวนในช่วงที่เขากับหยางเสี่ยวเหมยไม่อยู่หรือไม่ ทว่าเมื่อได้ยินเรื่องที่หลู่ฟู่หลินเล่ากลับทำให้หลู่อวี้โจวลืมเรื่องหลู่โจวหลินไปในทันที

“พวกมันกล้าทำเช่นนี้กับลูกของพ่อได้อย่างไรกัน!” ร่างสูงลุกพรวดขึ้น แม้ว่าอายุจะล่วงเลยไปถึงสี่สิบปี ใบหน้ายังคงหล่อเหลาเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน แต่ยามนี้มันกลับบูดบึ้งถมึงทึงแลดูน่ากลัวสำหรับผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก

“ท่านพี่จะไปไหนเจ้าคะ” หยางเสี่ยวเหมยรีบลุกขึ้นก้าวตามสามีไปอย่างติดๆ หลู่ฟู่หลินเองก็เช่นกัน

“ข้าจะไปเอาเรื่องพวกมันทุกคนที่กล้าทำร้ายรังแกหลินเอ๋อร์” เพราะความโกรธที่ได้รู้ว่าบุตรสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจถูกรังแกทำให้ประมุขของจวนสกุลหลู่ไม่ต่างอะไรจากคนขาดสติ ขายาวของเขาก้าวเดินไปยังประตูจวนหมายจะควบอาชาออกไปจัดการกับคนที่กล้าทำร้ายบุตรสาวของเขา

“ท่านพี่ใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะ” หยางเสี่ยวเหมยวิ่งตามมาคว้าข้อมือใหญ่ของสามีเอาไว้

“ให้ใจเย็นได้อย่างไรกัน หลินเอ๋อร์โดนกลั่นแกล้งหนักเพียงนี้ หากลูกเป็นอะไรไปจะทำอย่างไร เจ้าไม่เป็นห่วงลูกบ้างหรือ” หลู่อวี้โจวหันกลับมาถามภรรยาด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาล ในอกดั่งมีกองเพลิงสุมอยู่ภายใจพร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้เป็นจุณ คำพูดของสามีทำให้หยางเสี่ยวเหมยหน้าตึงไปในทันที เขาพูดออกมาได้อย่างไรกันว่านางไม่รักใคร่ห่วงใยลูก

“ใช่ว่าข้าไม่ห่วงใยลูก แต่ท่านพี่ต้องมีเหตุผล ท่านพี่คิดว่าจู่ๆท่านพี่บุกไปหาคนที่ทำร้ายลูกโดยไม่มีหลักฐาน พวกเขาจะเชื่อหรือเจ้าคะ ไหนจะองค์หญิงไป๋หลันอีก ท่านพี่จะฝ่าทหารบุกไปหานางง่ายๆได้อย่างไรกัน ดีไม่ดีท่านพี่อาจต้องโทษที่กล้ากล่าวหาองค์หญิงไป๋หลันโดยไร้ซึ่งหลักฐานนะเจ้าคะ” หยางเสี่ยวเหมยพูดจบก็หอบหายใจสะท้าน เมื่อครู่นี้นางโมโหจนพูดรัวออกมาเป็นชุดหมายจะเรียกสติของสามี

“หลินเอ๋อร์เป็นลูกของข้า ข้าย่อมรักและห่วงใยลูก ใช่ว่าจะกล้าเมินเฉยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ท่านพี่กลับกล่าวหาว่าข้าไม่รักลูกได้อย่างไรกัน” กล่าวเสียงสั่น มือบางปล่อยออกจากข้อมือใหญ่ของสามี จากนั้นจึงสะบัดหน้าก้าวดุ่มๆเดินจากไป

“ท่านพ่อรีบตามไปง้อท่านแม่เร็วเข้าสิเจ้าคะ ท่านแม่คงจะเสียใจมากที่ท่านพ่อพูดเช่นนั้น” หลู่ฟู่หลินเตือนสติของคนเป็นพ่ออีกคน และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เมื่อสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลเมื่อครู่หงอยลงไปในทันที

“เสี่ยวเหมย ข้าขอโทษ!” หลู่อวี้โจวนึกอยากตบปากตัวเองแรงๆสักร้อยหน เมื่อครู่นี้เป็นเพราะโมโหจนขาดสติทำให้เผลอพูดจาไม่ดีกับหยางเสี่ยวเหมย ประมุขของจวนสกุลหลู่รีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วและก้าวตามภรรยาไปอย่างติดๆ หลู่ฟู่หลินมองตามบุพการีทั้งสองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อย่างน้อยนอกจากเรื่องท่านพี่หลู่โจวหลินที่ทำให้นางหนักใจ ในจวนสกุลหลู่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้นางยิ้มออกอยู่บ้างที่เห็นพ่อแม่รักใคร่กันดี ถึงแม้จะมีเรื่องบาดหมางกันในบางครั้ง แต่ทุกครอบครัวก็ย่อมมีปัญหาบ้างเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ

เป็นเพราะว่าวันนี้เจอเรื่องสาหัสมาตลอดทั้งวัน ทำให้หลู่ฟู่หลินผล็อยหลับไปตั้งแต่ต้นยามไฮ่ (21.00 - 22.59 น.) เมื่อหลู่ฟู่หลินลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา หญิงสาวก็ได้ยินข่าวว่าได้เกิดเรื่องราววุ่นวายขึ้น มีคนร้ายบุกไปลักพาตัวเริ่นเหอ มู่หลิว เจียงซูอี้และองค์หญิงไป๋หลันไปกักขังไว้ที่ตำหนักร้าง กว่าที่ทหารจะออกตามหาพวกนางพบ เวลาก็ปาไปจนถึงตอนเช้าแล้ว

สภาพของคนทั้งสี่ดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตาปูดโปนราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะเป็นที่น่าเวทนาต่อผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก หากแต่เมื่อซักถามพวกนางกลับตอบแค่เพียงว่า ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจับตัวพวกนางมา อีกทั้งยังปฏิเสธว่าไม่เคยมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ใดมาก่อน ได้ยินเช่นนี้หลู่ฟู่หลินได้แต่เปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจที่ทุกคนโดนเหมือนที่เคยกระทำกับนางไว้ ขณะที่ท่านพ่อหลู่อวี้โจวก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย เขายังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร ก็มีคนช่วยแก้แค้นให้บุตรสาวของเขาเรียบร้อยแล้ว

แต่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลู่ฟู่หลินก็ชะงักไปเล็กน้อย หวนนึกถึงวาจาของเว่ยหยวนไท่จื่อที่กล่าวกับนางก่อนจากไปในเมื่อวานนี้

‘ข้าไม่ชอบเห็นผู้ใดโดนรังแก เรื่องที่เกิดขึ้น ข้าจะจัดการตามสมควร’

‘ต้องเป็นฝีมือของเว่ยหยวนไท่จื่อเป็นแน่’ หญิงสาวคิดอย่างอึ้งๆ วิธีจัดการของเขาช่างโหดร้ายกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก แม้จะเป็นในยามกลางวันหากแต่ตำหนักร้างทั้งหนาวทั้งมืด หลู่ฟู่หลินไม่อยากจะคิดว่าตอนกลางคืนบรรยากาศจะน่ากลัวชวนขนหัวลุกเพียงใด ดีแค่ไหนแล้วที่บรรดาคุณหนูเหล่านั้นรวมถึงองค์หญิงไป๋หลันไม่เสียสติไปเสียก่อน

หลังจากที่เรื่องวุ่นวายได้ผ่านพ้นไป หลู่โจวหลินก็ได้กลับมายังจวนสกุลหลู่ หลังจากที่เขาจากไปได้เกือบห้าวัน หลู่ฟู่หลินสังเกตว่ารอยฟกช้ำบนใบหน้าของพี่ชายได้จางหายลงไปมากแล้ว และมันคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายอมกลับมาเป็นแน่

ทันทีที่หลู่โจวหลินกลับมา หลู่อวี้โจวและหยางเสี่ยวเหมยก็ไม่รอช้ารีบสั่งให้เขาเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง หลังจากที่ปรึกษากับภรรยา หลู่อวี้โจวตั้งใจว่าจะส่งหลู่โจวหลินไปศึกษาวิทยายุทธกับท่านอาจารย์ผู้เลื่องชื่อที่เมืองต้าอิงซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เคยสอนเว่ยหยวนไท่จื่อ

เดิมทีหลู่โจวหลินตั้งท่าจะไม่ยอม แต่เมื่อเห็นสายตาคมกริบของน้องสาวที่ตวัดมองมานั้นทำให้เขาต้องเงียบเสียงลงไปทันใด ในเมื่อตอนนี้หลู่ฟู่หลินได้กุมความลับสำคัญของเขาอยู่ ถ้าหากนางเปิดปากบอกท่านพ่อกับท่านแม่มีหวังท่านทั้งสองคนคงได้ส่งเขาไปไกลกว่าเมืองต้าอิงอย่างแน่นอน ในเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงจำยอมเก็บข้าวของและออกเดินทางไปยังเมืองต้าอิงในอีกสองวันต่อมา

ส่วนหลู่ฟู่หลิน หยางเสี่ยวเหมยได้ส่งนางเข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวง วันนี้เป็นวันแรกในการเปิดเรียน หญิงสาวถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเพื่อลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ แม้ว่านางจะขี้เกียจแต่ก็ไม่อาจขัดใจมารดาได้ หากเป็นในภพชาติเดิม หลู่ฟู่หลินไม่ได้ถูกส่งไปเรียนที่สำนักศึกษา ทั้งชีวิตของนางล้วนจมปลักอยู่แต่ที่จวนสกุลหลู่ กระทั่งบิดาและพี่ชายถูกประหารด้วยโทษก่อกบฏ บ้านแตกสาแหรกขาด นางจึงได้เข้าวังหลวงเพราะเว่ยหยวนไท่จื่อเมตตารับนางเป็นอนุ

ทว่าในภพชาตินี้นั้นแตกต่างไปจากเดิม นางรู้ว่าท่านแม่หยางเสี่ยวเหมยต้องการผลักดันให้นางเข้าสังคม บางทีอาจทำให้นางได้พบเจอกับบุรุษที่อยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน หยางเสี่ยวเหมยคาดหวังเพียงให้บุรุษผู้นั้นเป็นคนที่สามารถดูแลปกป้องหลู่ฟู่หลินได้ และหากพบเจอกับคนผู้นั้นแล้ว นางจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะยกบุตรสาวให้ ขอเพียงแค่หลู่ฟู่หลินไม่ได้เดินตามเส้นทางในภพชาติเดิม และมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขก็เพียงพอแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel