องค์หญิงใหญ่ผู้โดดเดี่ยว 1.2
“พวกเรายินดีทำตามคำสั่งของพระสนมเพคะ”
เมื่อได้ยินเงื่อนไขแล้ว นางกำนัลทั้งสองก็โล่งอกและรีบตอบรับอย่างไม่ลังเลอีกแล้ว หวงกุ้ยเฟยยื่นตั๋วเงินสามร้อยตำลึงให้พวกนางคนละใบ จากนั้นจึงกำชับอะไรอีกหลายอย่างก่อนจะปล่อยให้พวกนางไปยังตำหนักท้ายวัง
หวงกุ้ยเฟยทำแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าไทเฮาจะส่งคนไปสักกี่คน สุดท้ายเวลานี้ที่ตำหนักท้ายวัง ล้วนกลายเป็นคนของหวงกุ้ยเฟยทั้งสิ้น
เวลาผ่านไปเจ็ดปี
ภาพองค์หญิงกำลังนั่งเล่นเดินหมากอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยวภายในตำหนักที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้คนนั้นช่างดูน่าสงสารอยู่ไม่น้อย นางนั่งครุ่นคิดและเดินหมากทั้งสองฝั่งด้วยตนเอง บางครั้งก็หยิบหมากขาวขึ้นมาวางมุมหนึ่ง หลังจากนั้นก็หยิบหมากดำขึ้นมาวางอีกมุมหนึ่ง แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ก็ในเมื่อนางไม่มีสหายเลยสักคน ไม่เพียงแค่ไร้สหายเดินหมากเท่านั้น แม้แต่สหายจะสนทนาด้วยสักครึ่งคำก็ยังไม่มี
เหล่านางกำนัลที่อยู่ในตำหนักนั้นต่างก็ไม่สนใจองค์หญิงผู้นี้เลยแม้แต่น้อย พวกนางจะนั่งอยู่มุมใดมุมหนึ่งที่ลับตา แล้วจับกลุ่มสนทนากันเสียมากกว่า จะพบเห็นหน้ากันก็ยามที่เอาสำรับอาหารมาให้นางเท่านั้น แม้แต่เวลาจะอาบน้ำ นางที่เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของฮ่องเต้ ก็ยังต้องอาบน้ำเย็นเพราะไม่มีผู้ใดสนใจจะมาต้มน้ำให้อาบ
องค์หญิงจิ่นซีใช้ชีวิตอย่างลำเค็ญอยู่ในตำหนักท้ายวังเช่นนี้จนกระทั่งอายุได้เจ็ดหนาว แม้นางจะเป็นองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮาแต่ทว่าสถานะของนางก็ต่ำต้อยอย่างมาก เนื่องจากไม่มีใครเอาใจใส่ดูแล จะมีก็แต่ไทเฮาที่ยังคงนึกถึงอยู่บ้าง ทว่าหลัง ๆ มานี้พระนางยังมีนัดดาอีกมากมายที่คอยผลัดเปลี่ยนกันมาเอาอกเอาใจ ทำให้เผลอหลงลืมนัดดาผู้นี้ไปเหมือนกัน
“สำรับอาหารมาแล้วเพคะองค์หญิง” นางกำนัลผู้หนึ่งถือถาดสำรับอาหารเข้ามา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าองค์หญิงใหญ่ จากนั้นก็เดินออกไปโดยที่ไม่กล่าวอะไรต่ออีก และไม่สนใจว่านางจะลุกขึ้นมากินหรือไม่
“อืม” องค์หญิงจิ่นซีพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะลุกขึ้นจากกระดานเดินหมากเพื่อไปกินมื้อกลางวัน
วันนี้สำรับอาหารดูดีกว่าทุกวันที่ผ่านมามาก เนื่องจากมีผัดผักกับเต้าหู้ด้วย องค์หญิงจิ่นซีเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา เพราะว่าจะได้กินอะไรที่น่าอร่อยกับเขาสักที เท่าที่จำความได้นั้น ที่ผ่านมารู้สึกว่าจะได้กินเต้าหู้แค่ไม่กี่ครั้ง เพราะทุก ๆ วันจะได้กินเพียงแค่ข้าวต้มเละ ๆ หรือไม่ก็ข้าวกล้องเก่าเก็บกับผักกาดขาวต้มเท่านั้น เรียกได้ว่าตลอดมานั้น นางได้กินแต่อาหารชั้นเลวที่มีไว้ให้พวกบ่าวไพร่ในตำหนักกินเท่านั้น นั่นก็เป็นเพราะสำรับของนาง ถูกบ่าวต่ำช้าพวกนั้นสับเปลี่ยนเอาไปกินเองแล้ว
องค์หญิงจิ่นซีนั่งพุ้ยข้าวกินกับผัดผักใส่เต้าหู้อย่างเอร็ดอร่อย หากว่าผู้ใดมาเห็นสภาพนางตอนนี้ ก็คงจะไม่คาดคิดว่านางคือองค์หญิงใหญ่ที่เกิดจากฮองเฮาเป็นแน่ เพราะนางดูไม่ต่างจากเด็กชาวบ้านทั่วไปที่กำลังหิวโหยเลย เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ถึงแม้จะไม่ได้ถึงขั้นสกปรกมอมแมม แต่ก็เป็นชุดเก่าที่ใส่มานานแล้ว อีกทั้งชายกระโปรงยังสั้นจนเลยข้อเท้าขึ้นมา บ่งบอกว่าชุดนี้เล็กเกินไปสำหรับเด็กหญิงที่โตขึ้นทุกวัน ยังดีที่นางมีรูปร่างที่ผอมจึงยังใส่ได้อยู่
เมื่อกินข้าวเสร็จก็ยกกาน้ำชาขึ้นมา ปรากฏว่าไม่มีน้ำชาจึงได้ร้องเรียกให้นางกำนัลมาเติมให้ “น้ำชาของข้าหมดแล้ว ไปเติมน้ำให้ข้าที”
นางกำนัลคนเดิมกับที่เอาสำรับอาหารมาให้ ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะคว้ากาน้ำชาไปจากโต๊ะแล้วเดินไปทางด้านหลัง
องค์หญิงจิ่นซีเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางกำนัลเหล่านี้ถึงได้ปฏิบัติต่อตนเองไม่ดีนัก ทั้ง ๆ ที่นางก็ไม่เคยทำอะไรให้พวกนางเจ็บช้ำน้ำใจเลยสักครั้ง และไม่เคยจะดื้อซนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ทำไมนางกำนัลเหล่านี้กลับทำเหมือนกับว่าไม่ชอบและไม่อยากอยู่ดูแลนาง เด็กน้อยได้แต่คิด แต่ทว่าก็ไม่ได้เก็บเอามาเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจอะไร รู้สึกเพียงแค่ว่าอยู่คนเดียวเช่นนี้ก็สบายใจดีเหมือนกัน
