บทที่5 คนของข้า 1/2
บทที่5 คนของข้า 1/2
หมิงซีไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่รอฟังว่านางต้องการสิ่งใด
หลังจากนางสำรวจเขาจนพอใจ นางก็กลับไปนั่งที่เดิม และนางกำนัลที่เดินตามหลังก็ส่งถ้วยชาให้นางอย่างรู้ใจ
“ไหนเจ้าบอกชื่อของเจ้ามาซิ” นางพูดด้วยน้ำเสียงชวนฟัง ท่าทางดูสง่างาม
เฟยหยา นางเป็นสนมของอดีตฮ่องเต้ที่โปรดปรานมากที่สุด จึงไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยวกับนาง บวกกับโอรสของนางมีตำแหน่งเป็นอ๋อง ไม่ว่านางจะทำอะไรก็แทบจะหาคนขวางนางไม่ได้ ยกเว้น....
ฟวับ!
เสียงแส้ฟาดผ่านอากาศลงกลางหลังของหมิงซีอย่างเต็มแรง ซึ่งเป็นทหารนายหนึ่งฟาดใส่เขาอย่างไม่ออมมือเมื่อเขาไม่เอ่ยตอบคำถามของนาง
“อึก” จนหมิงซีถึงกับต้องโน้มตัวด้านหน้า เพราะแรงที่ฟาดลงมาในตอนที่เขายังไม่ทันได้ตั้งหลักให้ดี
“พระสนมถาม เจ้าไม่ได้ยินหรือยังไง ตอบ” ทหารนายนั้นตะคอกใส่หมิงซีที่ทรุดลงไปกับพื้นอีกครั้ง เมื่อหมิงซียังไม่ตอบก็ฟาดแส้ลงไปอีก
“หึๆ” คนที่ได้ชื่อว่าพระสนมกลับนั่งมองดูการกระทำนั้นด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายราวกับกำลังชมการแสดงอยู่
“กระหม่อมหมิงซีพ่ะย่ะค่ะ” สุดท้ายหมิงซีก็กัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้แล้วตอบกลับมา
“พูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม เจ้าคงเห็นว่าองค์หญิงทำตัวไม่เหมาะอย่างไร นางใช้อำนาจของตัวเองข่มเหงรังแกผู้คน หากเจ้ายอมมาเป็นคนของข้าแล้วเป็นพยานเอาผิดองค์หญิง ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าจะยินยอมรึไม่” นางสนมฟยหยาเอ่ยถามเสียงเรียบ
“แต่กระหม่อมเป็นคนขององค์หญิงเหลียงหนิงฮวานะพ่ะย่ะค่ะ” หมิงซีตอบเสียงเรียบกลับไปเช่นกัน
ฟวับ!
แส้ถูกฟาดลงบนหลังของเขาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่ถูกใจคนถาม เสื้อด้านหลังของเขาเป็นรอยแส้ขาดออกอย่างชัดเจนและเลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมา
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเลือกอีกครั้ง ว่าจะมาเป็นคนของข้าหรือจะตายอยู่ที่นี่” นางถามกับเขาเสียงเย็นและดุดัน
เป้าหมายของนางไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นใคร แต่หากเขายอมร่วมมือกับนางเปิดโปงพฤติกรรมที่ผิดธรรมเนียมขององค์หญิงหนิงฮวาต่อหน้าเหล่าขุนนางและฮ่องเต้ ตำแหน่งองค์หญิงของนางก็จะถูกปลดลง และนางจะไม่มีอำนาจใดๆ อีกต่อไป
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเป็นคนขององค์หญิงหนิงฮวา และพระองค์ไม่ได้กระทำเรื่องใดผิดพ่ะย่ะค่ะ” เมิงซีตอบออกไปเช่นนั้น แม้จะรู้ดีว่าที่พูดไปเป็นเพียงคำโกหกเพราะภาพที่นางยั่วยวนเขาในคืนนั้นยังติดตราตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเขา
“เจ้านี่มัน!!!” รอยยิ้มของนางหุบลงในทันทีที่เขายังยืนยันคำตอบ
เขาคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่ทำให้นางไม่พอใจ เพราะไม่ว่านางจะใช้วิธีไหน คนขององค์หญิงหนิงฮวาก็ไม่มีผู้ใดยอมปริปากหรืออยู่ข้างนางแม้แต่คนเดียว ต่อให้นางจะทรมานคนพวกนั้นจนตาย นางก็เอามาเป็นพวกตัวเองไม่ได้
“ฟาดเขาต่อไป ฟาดไปจนกว่าจะเปลี่ยนใจหรือจนกว่าจะตาย ส่วนเจ้า หากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็บอกข้าก็แล้วกัน” นางสั่งทหารของตัวเองอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะพูดกับหมิงซี
ฟวับ! ฟวับ!
แส้ถูกฟาดลงครั้งแล้วครั้งเล่าบนหลังของเขา หมิงซีกำมือทั้งสองข้างแน่น สะกดกลั้นอดทนต่อความเจ็บของตัวเองเอาไว้
เขาทนรับแรงจากแส้ที่ฟาดลงมาโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องหลุดออกมาแม้แต่น้อย กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาจากปากลอยแตะจมูกของตัวเอง ไม่คาดคิดว่าคนอย่างเขาต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนี้แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะทนไม่ไหวแล้วลุกขึ้นมาจับทหารที่ฟาดเขาคืน จู่ๆ แส้ที่ควรจะฟาดลงมาก็เงียบไป
หมับ!
หนิงฮวาคว้าแส้ที่กำลังจะฟาดลงไว้ ก่อนจะกระชากแส้จากทหารจนหลุดมือ นางจึงดึงแส้มาไว้ในมือตัวเองและกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาแข็งกร้าว
“อะ องค์หญิง” ทหารสี่นายคุกเข่าลงในทันทีเมื่อเห็นว่าผู้ใดมายืนตรวหน้า
“ทหาร ล้มตำหนักเอาไว้ อย่าให้ผู้ใดหลุดรอดไปได้เป็นอันขาด” หวังหย่งออกคำสั่งให้ทหารที่ตามมาล้อมตำหนักเอาไว้โดยไม่สนใจว่าที่นี่เป็นตำหนักของใคร
ส่วนไป๋เหรินรีบวิ่งไปประคองหมิงซีที่นั่งอยู่ทันที หมิงซีล้มตัวลงพิงไหล่สหายของเขา คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงจะมาได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี หากนานกว่านี้เขาได้ตายจริงแน่
“นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือพระสนม” องค์หญิงหนิงฮวาหันไปทางสนมเฟยหยาและเอ่ยถามอย่างเอาเรื่อง
“องค์หญิงมาถึงที่นี่ด้วยเรื่องอะไรหรือเพคะ แล้วสิ่งใดคือเกินไปหน่อย” สนมเฟยหยาเอ่ยถามออกมาราวกับไม่รู้เรื่อง
