บทที่5 คนของข้า 1/1
บทที่5 คนของข้า 1/1
ตำหนักหนิงฮวา
หนิงฮวากำลังนั่งอ่านฎีกาที่ต้องส่งให้ฮ่องเต้ลงนาม เป็นที่รู้กันดีว่าองค์หญิงใหญ่แคว้นเหลียงเป็นผู้มีความสามารถ
ต่างจากบรรดาองค์ชายอื่นๆ หากนางเป็นบุรุษ บัลลังก์นี้คงเป็นของนางไปแล้ว และในเวลานี้นางก็มีอำนาจมากพอที่คานอำนาจกับเหล่าท่านอ๋องที่คอยแต่จะโค่นล้มฮ่องเต้อยู่ทุกวัน
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง” เสียงเรียกดังจากนอกตำหนักเข้ามาถึงด้านใน
นางเงยหน้าจากฎีกา สายตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจ หากไม่มีเรื่องสำคัญมากพอ นางคงได้สั่งบั่นคอเขาเป็นแน่
“ให้เข้ามา” หนิงฮวาออกมาคำสั่งห้วนๆ
ไป๋เหรินที่รีบวิ่งมาอย่างล้มลุกคลุกคลานตลอดทางจนถึงตำหนัก ทั้งยังถูกทหารขวางเอาไว้อีก เมื่อได้รับคำสั่งอนุญาต เขาจึงรีบเข้าไปในตำหนักทันที
ไป๋เหรินคุกเข่า โน้มตัวก้มลงหมอบกับพื้นด้วยอาการสั่นเทาไม่กล้าที่จะมองหน้านาง “องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า รู้ใช่หรือไม่ว่าหากเรื่องที่เจ้าจะพูดออกมาไม่ได้มีประโยชน์กับข้า เจ้าจะต้องเจอกับอะไร” หนิงฮวาลุกจากเก้าอี้ เดินมาใกล้เขาแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งทรงอำนาจสายตาดุดันดังพญาหงส์นั้นก้มมองและโน้มตัวลง ใช้มือบีบคางเขาเชิดขึ้น เพื่อดูใบหน้าคนที่กล้ามารบกวนเวลาของนาง
“องค์หญิง” และนี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เหรินได้ใกล้ชิดกับองค์หญิงที่เขาแอบปลื้มในใจจึงประหม่ามาก เมื่อยิ่งนางจ้องเขาใกล้ถึงเพียงนี้ เขาจึงตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ได้แต่เรียกนางออกมา
“ว่ามาสิ ว่าเจ้ามีเรื่องอะไร” นางจ้องหน้าและสั่งเสียงเยือกเย็น
“คะ คือ ว่า เอ่อ องค์หญิงได้โปรดช่วยสหายของกระหม่อมด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋เหรินก้มหน้าลง แล้วหลับตาแล้วพูดออกไปอย่างรวดเร็วถึงจุดประสงค์ที่เขามาถึงที่นี่
ที่เขากล้ามาที่นี่ก็เพราะหมิงซีถูกพาตัวไป เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะหมิงซีเป็นสหายคนแรกของเขา นับตั้งแต่นางให้เขามาอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่มีทหารคนใดยอมพูดคุยกับเขาเลยสักคน
“เหอะ แล้วเจ้าชื่ออะไร” นางถามเสียงเบาลงเมื่อรู้จัดประสงค์ของเขา
“ปะ ไป๋เหริน พ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบชื่อตัวเองเสียงสั่น
“เจ้ากล้าดียังไง ถึงกล้าเอาเรื่องไร้สาระพวกนี้มาขัดเวลางานของข้า” นางตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ตะ แต่ว่าหมิงซี สหายกระหม่อม ถูกเอาตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงช่วยเขาด้วยนะพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” ไป๋เหรินรีบเอ่ยขึ้นมาอีกครา คราวนี้เขายกชื่อของสหายขึ้นมาแจ้งกับนางด้วย
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ใครจับตัวเขาไป” แค่ได้ยินชื่อหมิงซี คิ้วของนางก็แทบจะผูกเข้าหากันและถามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม
“มะ มีทหารจับตัวเขาไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไป๋เหรินเอ่ยออกมาอย่างลนลาน
“ใครมันกล้ายุ่งกับคนของข้า” นางลุกขึ้นยืนแววตาฉายความโกรธออกมาอย่างชัดเจน
ไม่ใช่ว่านางพึงพอใจตัวเขาเป็นพิเศษ แต่นางไม่ชอบให้มีใครมาวุ่นวายกับคนของนาง ต่อให้ไม่ใช่หมิงซี นางก็ไม่ยอมเช่นกัน
“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ตะ แต่กระหม่อมแอบตามไปพวกเขาพาหมิงซีไปตำหนักหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋เหรินรีบเอ่ยบอกในสิ่งที่เขารับรู้มา
“ดี งั้นเจ้านำทางไป หลี่เหว่ย หวังหย่งพวกเจ้าไปกับข้า เอาทหารไปด้วยให้มากพอที่ล้อมตำหนักเอาไว้ได้ ข้าอยากจะรู้นักว่าใครหน้าไหนมันกล้าลองดีกับข้า”หนิงฮวาออกคำสั่งอย่างแข็งกร้าว
“พ่ะย่ะค่ะ” หวังหย่งและหลี่เหว่ยรับคำสั่ง
ด้านหนิงฮวาทิ้งงานของตัวเองไว้ที่โต๊ะ แล้วรีบออกไปพร้อมทหาร โดยมีไป๋เหรินเป็นคนนำทาง
ตำหนักไฉ่หง
“ข้าถามว่าเจ้าใช่หรือไม่ที่ค้างคืนกับองค์หญิงน่ะ”
สตรีนางนี้ยังคงถามคำถามเดิมกับหมิงซี ดูจากการแต่งกายและรูปลักษณ์ หมิงซีคาดว่าสตรีผู้นี้อาจจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้
แต่เท่าที่เขารู้มา ฮ่องเต้องค์แคว้นเหลียงอายุยังน้อยมาก คงไม่มีสนมที่อายุมากเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นพระสนมในอดีตฮ่องเต้เสียมากกว่า แต่เหตุใดจึงได้มีเรื่องสอบถามกับเขากันเล่า
นางลุกขึ้นเดินยืนตรงหน้า แล้วก้มลงมองหมิงซี ดึงเสื้อที่คอเขาดูเล็กน้อย ดูเหมือนร่องรอยที่เห็นจะทำให้นางพึงพอใจเลยทีเดียวจึงเอ่ยออกมาอย่างเยาะเย้ย
“รูปร่างหน้าตาไม่เลว ข้าไม่แปลกเลยที่นางจะชื่นชอบเจ้า ดูท่านางจะโปรดปรานเจ้าไม่น้อยเลยนะ”
