บทที่5 คนของข้า 1/3
บทที่5 คนของข้า 1/3
“เจ้าใช่หรือไม่ที่ฟาดเขา ตัดมือเขาซะ” หนิงฮวามองไปที่ทหารร่างใหญ่ที่ลงแส้บนหลังคนของนาง พร้อมกับออกคำสั่งเสียงดัง
“โอ้ยย! องค์หญิงไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวดของทหารนายนั้นดังขึ้น เมื่อหวังหย่งดึงดาบตัดมือของเขาทันทีที่จบคำสั่ง โดยไม่ให้ได้ทันตั้งตัว และก่อนเก็บดาบเข้าฝักไว้อย่างเดิมหวังหย่งได้เช็ดเลือดที่เสื้อของทหารคนที่เขาเพิ่งตัดมือไปเมื่อครู่นี้
“เจ้า มานี่ซิ” หนิงฮวากระดิกนิ้วเรียกนางกำนัลข้างกายพระสนมให้มาหาตน
“เพคะ” นางกำนัลนางนั้นไม่กล้าขัด ได้แต่รีบคลานเข้าไปหาอย่างว่าง่าย
“องค์หญิง นี่มันจะไม่มากไปหน่อยหรือเพคะ” เฟยหยาเห็นอย่างนั้นก็ลุกยืนขึ้นประจันหน้ากับหนิงฮวาทันที
“อะไรที่เรียกว่ามากไปล่ะ ท่านเอาคนของข้ามาถึงที่นี่ไม่พอ ยังใช้แส้ฟาดเขาอีก มีเหตุผลอะไรละ บอกข้ามาหน่อยสิ” หนิงฮวากระตุกยิ้มร้ายมุมปากพร้อมกับถามออกไปอย่างไม่ไว้หน้า
“แค่ลงโทษคนจำเป็น ต้องมีความผิดหรือเพคะ เขาแค่ทำให้หม่อมฉันไม่พอใจ แค่นี้รับว่าเป็นความผิดได้หรือไม่เล่า” สนมเฟยหยาทำเสียงเข้มใส่อย่างไม่ยอมแพ้
เพียะ!
ใบหน้านางกำนัลข้างกายพระสนมหันไปตามแรงมือที่หนิงฮวาตั้งใจตบไปอย่างเต็มแรง จนเกิดรอยแดงบนใบหน้าเป็นรอยนิ้วมือครบทั้งห้านิ้ว
“นี่เจ้ากล้าตบคนของข้าเชียวรึ” เฟยหยามองคนอายุน้อยกว่าตรงหน้า ใบหน้าบ่งบอกถึงความพอใจออกมาอย่างชัดเจน
“ก็นางทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดี นี่ก็ถือว่าเป็นความผิดนาง สมควรที่จะถูกข้าตบ” หนิงฮวาย้อนคำที่พระสนมบอกกับนาง ก่อนจะย่อตัวลงนั่งให้เสมอกับหมิงซี
“เจ็บมากรึเปล่า” นางเช็ดเลือดที่มุมปากให้เขาอย่างอ่อนโยน
“กระหม่อมไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” หมิงซีตอบเสียงเบาจนนางต้องก้มหน้าเอาหูแนบใกล้ๆ ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยเลือด
“อะไรนะ เจ็บมากอย่างนั้นหรือ” จากนั้นนางพูดออกมาเสียงดัง หมิงซีถึงกับจ้องนางตาเขม็ง... ‘เขาตอบแบบนั้นที่ไหนกัน’
“พระสนมท่านรังแกคนของข้าถึงเพียงนี้ จะให้ข้าจัดการอย่างไร” นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถาม ก่อนจะฟาดแส้ที่อยู่ในมือลงไปที่กลางโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ซึ่งแส้นั้นเฉียดพระสนมที่ยืนอยู่ไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“นี่องค์หญิงจะทำร้ายหม่อมฉันเลยอย่างนั้นหรือ ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นสนมของพระบิดาพระองค์นะเพคะ” พระสนมเฟยหยาถอยตัวออกห่าง และหันมองหน้าองค์หญิงอย่างหวาดกลัว
“แล้วอย่างไร ท่านไม่ใช่มารดาข้าเสียหน่อย หากท่านยังไม่หุบปากของตัวเอง ครั้งที่สองข้าจะฟาดตัวท่านให้ดู และจำเอาไว้ให้ดี หากยังกล้ามายุ่งวุ่นวายกับคนของข้าอีก ข้าไม่เอาท่านไว้แน่ หากท่านไม่เชื่อจะลองดูก็ได้” นางประกาศกร้าวออกไปอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะใด ก่อนจะให้สัญญาณคนของตัวเองให้กลับ
หมิงซีไม่พูด เขายันกายลุกขึ้น เลือดยังคงไหลซึมออกมาจากบาดแผลบนแผ่นหลัง โดยมีไป๋เหรินช่วยพยุงเดินกลับที่พัก
“เห้อ..ขอบคุณที่ข้าใจกล้าไปทูลองค์หญิงให้มาช่วยเจ้า” เมื่อออกมาพ้นตำหนัก ไป๋เหรินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดออกมากับหมิงซี เพราะคิดไม่ถึงว่าตัวเขาเองจะใจกล้าขนาดนี้
‘หากพระสนมรู้เข้าว่าเขาไปตามองค์หญิงมา หวังว่าพระสนมคงไม่เปลี่ยนเป้าหมายมาที่เขาแทนหรอกนะ’ ไป๋เหรินคิดกังวลในใจไม่น้อย
“เจ้าพาเขาไปพักก่อน ข้าจะส่งหมอตามไปดูอาการให้ที่เรือนพัก” หนิงฮวาสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งโดยที่ไม่ได้มองทั้งสองคน
“พ่ะย่ะค่ะ” ไป๋เหรินรับคำสั่งแล้วเขาพาหมิงซีไปที่ห้องพักทันที
“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ดูท่าทางแล้วพระสนมคงไม่ยอมรามือง่ายๆ กระหม่อมเกรงว่าพระองค์คงต้องเตรียมรับมือไว้นะพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เหว่ยบอกไปตามที่เขาคาดคิดไว้
“กระหม่อมจะคอยจับตาดูไว้พ่ะย่ะค่ะ” หวังหย่งเสนอตัวทันที เพราะเขารู้ดีว่าองค์หญิงต้องการจะให้เขาทำอะไร
“ดีมาก ให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ แต่คิดจะปลดข้าไม่ง่ายเช่นนั้นหรอกนะ”หนิงฮวาพยักหน้าให้กับทั้งสองคน ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะจัดการเรื่องนี้” หวังหย่งรับคำสั่ง
“อ๋อ เดี๋ยวส่งหมอไปดูหมิงซีด้วยล่ะ” นางเอ่ยย้ำกับหลี่เหว่ย แล้วเดินกลับเข้าตำหนักของตัวเอง เพราะนางยังมีงานที่ต้องทำอีกมากนัก
